ไทย: Unlocked Literal Bible

Updated ? hours ago # views See on DCS

บทที่

Chapter 1

1 มีหลายคนพยายามเรียงลำดับเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นท่ามกลางพวกเรา 2 เมื่อพวกเขาได้มอบสิ่งเหล่านี้ให้แก่เราซึ่งเป็นผู้ที่เป็นพยานด้วยตาและผู้รับใช้สารสำคัญมาตั้งแต่ต้น 3 สำหรับตัวข้าพเจ้าเองเห็นว่าเป็นการดีที่จะได้มีการตรวจสอบเหตุการณ์ทุกอย่างที่มีมาตั้งแต่ต้นอย่างถูกต้อง เพื่อที่จะได้เขียนเรื่องราวได้อย่างเป็นระเบียบและดีที่สุดเพื่อท่านธีโอฟีลัส 4 เพื่อว่าท่านจะได้ทราบความจริงเกี่ยวกับหลายสิ่งที่ท่านได้รับการสอน 5 ในรัชกาลเฮโรดกษัตริย์แห่งยูเดีย มีปุโรหิตคนหนึ่งชื่อเศคาริยาห์ จากกองอาบียา และภรรยาของเขาซึ่งมาจากบรรดาบุตรสาวของอาโรน นางชื่อเอลิซาเบธ 6 เขาทั้งสองเป็นผู้ชอบธรรมต่อพระเจ้า ทั้งเชื่อฟังคำสั่งและบทบัญญัติของพระเจ้าทุกประการ 7 แต่ทั้งสองไม่มีบุตรเพราะนางเอลิซาเบธเป็นหมัน และทั้งสองก็ชรามากแล้วในเวลานั้น 8 เมื่อถึงเวลาที่เศคาริยาห์ต้องอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า ซึ่งเป็นการปรนนิบัติหน้าที่ของปุโรหิตตามกองของเขา 9 ตามธรรมเนียมของการเลือกปุโรหิตในการปรนนิบัติรับใช้ เขาถูกเลือกด้วยการจับสลากให้ทำหน้าที่เผาเครื่องหอมในพระวิหารของพระเจ้า 10 ส่วนประชากรทั้งหมดก็อธิษฐานอยู่ภายนอกขณะที่มีการเผาเครื่องหอม 11 เวลานั้นทูตสวรรค์ของพระเจ้าได้ปรากฏแก่เขา และยืนอยู่ด้านขวาของแท่นบูชาเครื่องหอม 12 เมื่อเศคาริยาห์เห็นทูตสวรรค์เขาก็ตื่นตระหนกและรู้สึกหวาดกลัวทูตสวรรค์นั้น 13 แต่ทูตสวรรค์พูดกับเขาว่า "อย่ากลัวเลย เศคาริยาห์ เพราะพระเจ้าฟังคำอธิษฐานของท่านแล้ว เอลิซาเบธภรรยาของท่านจะให้กำเนิดบุตรชายแก่ท่านคนหนึ่ง ท่านจะตั้งชื่อให้เขาว่า ยอห์น" 14 ท่านจะยินดีและมีความสุข ผู้คนเป็นอันมากจะชื่นชมยินดีกับการกำเนิดของเขา 15 เพราะเขาจะเป็นใหญ่ในสายพระเนตรของพระเจ้า เขาจะไม่ดื่มเหล้าองุ่นหรือเครื่องดื่มที่เมามาย และ เขาจะประกอบไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาของเขา 16 และประชาชนอิสราเอลมากมายจะหันมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา 17 เขาจะนำหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าในวิญญาณและฤทธิ์เดชของเอลียาห์ เขาจะทำเช่นนี้เพื่อหันจิตใจของบิดามาหาบุตร เพื่อว่าผู้ที่ไม่เชื่อฟังจะเดินในสติปัญญาของผู้ชอบธรรม เพื่อเตรียมประชากรของพระองค์ให้พร้อมสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า 18 เศคาริยาห์กล่าวแก่ทูตสวรรค์ว่า "ข้าพเจ้าจะทราบสิ่งนี้ได้อย่างไร? เนื่องจากข้าพเจ้าเป็นคนชราและภรรยาของข้าพเจ้าก็อายุมากแล้วเช่นกัน 19 ทูตสวรรค์ตอบและพูดกับเขาว่า "ข้าพเจ้าคือกาเบรียล ผู้ที่ยืนอยู่ในการทรงสถิตย์ของพระเจ้า ข้าพเจ้าถูกส่งมาเพื่อพูดกับท่านและบอกข่าวดีนี้แก่ท่าน 20 และดูเถิด ท่านจะเป็นใบ้ ไม่สามารถพูดได้จนกว่าถึงวันที่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น นี่เป็นเพราะท่านไม่เชื่อคำพูดของข้าพเจ้าซึ่งจะสำเร็จในเวลานั้น 21 ประชาชนกำลังรอคอยเศคาริยาห์ พวกเขาประหลาดใจเพราะเขาใช้เวลาในพระวิหารเป็นเวลานานมาก 22 แต่เมื่อเศคาริยาห์ออกมา เขาไม่สามารถพูดกับพวกเขาได้ พวกเขาจึงตระหนักว่า เขาต้องได้รับนิมิตขณะที่อยู่ในพระวิหาร เขาพยายามส่งสัญญาณให้แก่พวกเขาและยังคงพูดไม่ได้ 23 จนกระทั่งหมดเวลาปรนนิบัติของเขา เขาจึงได้กลับไปยังบ้านของตน 24 หลังจากวันนั้น เอลิซาเบธภรรยาของเขาก็ได้ตั้งครรภ์ นางได้ซ่อนตัวเป็นเวลาห้าเดือน นางกล่าวว่า 25 "นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำแก่ข้าพเจ้าเมื่อทรงมองดูข้าพเจ้าด้วยความโปรดปรานเพื่อนำความอับอายของข้าพเจ้าต่อประชาชนออกไปเสีย" 26 เมื่อนางตั้งครรภ์ได้หกเดือน พระเจ้าได้ส่งกาเบรียลทูตสวรรค์ของพระองค์มายังเมืองแห่งหนึ่งในกาลิลีชื่อว่าเมืองนาซาเร็ธ 27 มาหาหญิงพรหมจารีย์คนหนึ่งที่ได้หมั้นหมายไว้กับชายคนหนึ่งชื่อโยเซฟ ผู้ที่อยู่ในวงศ์วานของดาวิด และหญิงพรหมจารีย์นั้นชื่อมารีย์ 28 ทูตสวรรค์มาหาเธอและกล่าวว่า "สวัสดิภาพจงมีแก่เธอผู้เป็นที่โปรดปรานจากเบื้องบน ขอพระเจ้าทรงอยู่กับเธอ" 29 แต่นางสับสนกับถ้อยคำของทูตสวรรค์เป็นอย่างมากและนึกสงสัยว่าการทักทายเช่นนั้นหมายความเช่นไร 30 ทูตสวรรค์กล่าวแก่นางว่า "อย่ากลัวเลยมารีย์ เพราะเธอได้รับความโปรดปรานจากองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว 31 ดูเถิด เธอจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชาย เธอจะเรียกนามเขาว่า "เยซู" 32 เขาจะเป็นใหญ่และได้ชื่อว่า พระบุตรขององค์ผู้สูงสุด องค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานบัลลังก์แห่งดาวิดบรรพบุรุษของเขาแก่เขา 33 เขาจะปกครองเหนือพงศ์พันธ์ยาโคบไปจนนิรันดร์ และอาณาจักรของพระองค์ไม่มีที่สิ้นสุด" 34 มารีย์กล่าวแก่ทูตสวรรค์ว่า "สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร? เพราะดิฉันไม่เคยร่วมหลับนอนกับชายใดเลย?" 35 ทูตสวรรค์ตอบและกล่าวแก่เธอว่า "พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงเสด็จมาเหนือเธอ และฤทธิ์อำนาจขององค์ผู้สูงสุดจะมาเหนือเธอ ดังนั้นองค์บริสุทธิ์ที่ทรงบังเกิดมาจะถูกเรียกว่าพระบุตรของพระเจ้า 36 และดูเถิด นางเอลิซาเบธญาติของเธอก็ได้ตั้งครรภ์บุตรชายขณะที่นางอายุมากแล้ว ตอนนี้นางตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว นางผู้ถูกเรียกว่าเป็นหญิงหมัน 37 เพราะไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพระเจ้า" 38 มารีย์กล่าวว่า "ดิฉันเป็นหญิงรับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นตามถ้อยคำของท่านเถิด" แล้วทูตสวรรค์ก็ได้จากไป 39 จากนั้นมารีย์ได้ลุกขึ้นและรีบไปยังชนบทแถบเนินเขา ยังเมืองแห่งหนึ่งในเขตยูเดีย 40 นางได้เข้าไปในเรือนของเศคาริยาห์และกล่าวคำทักทายนางเอลิซาเบธ 41 สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อนางเอลิซาเบธได้ยินคำทักทายของมารีย์คือทารกที่อยู่ในครรภ์ของนางได้โลดเต้น และนางเอลิซาเบธจึงเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ 42 นางร้องขึ้นและกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า "เธอคือผู้ที่ได้รับพระพรมากที่สุดในบรรดาหญิงคนอื่นๆ และทารกในครรภ์ของเธอก็ได้รับพระพรด้วย 43 เหตุใดมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้าของฉันจึงมาหา? 44 ดูสิเมื่อฉันได้ยินคำทักทายของท่าน ทารกในครรภ์ของฉันก็โลดเต้นด้วยความชื่นชมยินดี 45 และผู้ได้รับพระพรคือเธอผู้ที่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะสำเร็จตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับเธอ" 46 มารีย์กล่าวว่า "จิตใจของฉันสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า 47 และ จิตวิญญาณของฉันชื่นชมยินดีในพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของฉัน" 48 เพราะพระองค์ทรงมองดูสภาพอันต่ำต้อยของหญิงผู้รับใช้ของพระองค์ ดูสิ จากนี้ไปทุกยุคจะเรียกฉันว่าผู้ได้รับพระพร 49 เพราะพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ได้ทรงกระทำการอันยิ่งใหญ่กับฉัน และพระนามของพระองค์ก็บริสุทธิ์ 50 พระเมตตาของพระเจ้ามีต่อผู้ที่ยำเกรงพระองค์จากรุ่นสู่รุ่น 51 พระองค์ทรงสำแดงพระกำลังของพระองค์ด้วยพระอำนาจของพระองค์ พระองค์ทรงทำให้ผู้ที่มีใจเย่อหยิ่งกระจัดกระจายไป 52 พระองค์โยนเจ้านายทั้งหลายออกจากบัลลังก์ของพวกเขาและยกชูผู้ที่ต่ำต้อยขึ้น 53 พระองค์เติมสิ่งดีทั้งหลายแก่ผู้ที่หิวโหย แต่ประทานความว่างเปล่าแก่ผู้ที่มั่งคั่ง 54 พระองค์ประทานความช่วยเหลือแก่อิสราเอลผู้รับใช้ของพระองค์ เพื่อระลึกการสำแดงพระเมตตา 55 (อย่างที่ทรงตรัสแก่บิดาทั้งหลายของพวกเรา) แก่อับราฮัมและพงศ์พันธ์ของท่านไปจนนิรันดร์ 56 นางมารีย์พักอยู่กับนางเอลิซาเบธประมาณสามเดือนหลังจากนั้นนางก็กลับไปยังบ้านของนาง 57 เมื่อถึงเวลาที่นางเอลิซาเบธต้องคลอดบุตรและนางได้คลอดบุตรชายคนหนึ่ง 58 เพื่อนบ้านและญาติพี่น้องของนางได้ยินถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสำแดงพระเมตตาอันยิ่งใหญ่แก่นาง และพวกเขาก็พากันชื่นชมยินดีกับนาง 59 ในวันที่แปดพวกเขาได้นำเด็กคนนี้เข้าสุหนัต พวกเขาจะตั้งชื่อเด็กคนนี้ว่า เศคาริยาห์ ตามชื่อบิดาของเขา 60 แต่มารดาของเขาตอบและกล่าวแก่พวกเขาว่า "ไม่ได้ เขาจะถูกเรียกว่า ยอห์น" 61 พวกเขากล่าวแก่นางว่า "ในหมู่ญาติพี่น้องของท่านไม่มีใครที่มีชื่อนี้" 62 พวกเขาแสดงท่าทางถามบิดาของเด็กว่าเขาต้องการตั้งชื่อบุตรของเขาว่าอะไร 63 บิดาของเขาขอกระดานเขียน และเขียนลงไปว่า "ชื่อของเขาคือยอห์น" และพวกเขาก็พากันประหลาดใจในเรื่องนี้ 64 ทันใดนั้น ปากของเศคาริยาห์ก็เปิดออก และลิ้นของเขาก็เป็นอิสระ เขาพูดและสรรเสริญพระเจ้า 65 ผู้ที่อยู่ล้อมรอบเขาก็เกิดความกลัว เรื่องราวทั้งหมดนี้ถูกเผยแพร่ไปทั่วเนินเขาเขตแดนของยูเดีย 66 และทุกคนที่ได้ยินก็เก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ ต่างถามกันว่า "เด็กนี้จะเติบโตไปเป็นอย่างไร?" เพราะพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่กับเขา 67 เศคาริยาห์บิดาของเขาเต็มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และได้รับคำพยากรณ์ กล่าวว่า 68 "สรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอล เพราะพระองค์ทรงมาเพื่อช่วย และทรงไถ่ประชากรของพระองค์ได้สำเร็จ" 69 พระองค์ทรงยกแตรแห่งความรอดสำหรับพวกเราขึ้นในราชวงศ์ของดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ 70 ดังที่พระองค์ทรงตรัสโดยปากของผู้เผยพระวจนะบริสุทธิ์ผู้อยู่ในสมัยโบราณ 71 พระองค์จะนำความรอดจากศัตรูของเราและจากมือของผู้ที่เกลียดชังเรา 72 พระองค์จะทำสิ่งนี้เพื่อสำแดงพระเมตตาแก่บิดาทั้งหลายของเราและเพื่อระลึกถึงพันธสัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ 73 ซึ่งเป็นคำปฏิญาณที่ทรงตรัสแก่อับราฮัมบิดาของเรา 74 พระองค์ทรงสัญญากับเราว่า เราจะได้รับการปลดปล่อยจากมือของศัตรูและ เราจะรับใช้พระองค์โดยปราศจากความกลัว 75 โดยความบริสุทธิ์และความชอบธรรมต่อพระองค์ตลอดชีวิตของเรา 76 และท่านที่เป็นบุตร จะถูกเรียกให้เป็นผู้เผยพระวจนะขององค์ผู้สูงสุด ท่านจะนำหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อเตรียมทางของพระองค์ เพื่อเตรียมประชากรสำหรับการเสด็จมาของพระองค์ 77 เพื่อให้ความรู้ในเรื่องความรอดแก่ประชากรของพระองค์โดยการให้อภัยความผิดบาปของพวกเขา 78 สิ่งนี้จะเกิดขึ้นเพราะพระเมตตาอันอ่อนโยนขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา เนื่องด้วยอรุณรุ่งจากเบื้องบนจะมาช่วยเรา 79 เพื่อฉายแสงต่อผู้ที่นั่งอยู่ในความมืดและในเงาแห่งความตาย พระองค์จะกระทำสิ่งนี้เพื่อนำย่างเท้าของเราไปยังหนทางแห่งสันติสุข" 80 เด็กนั้นก็เจริญเติบโต และเข้มแข็งขึ้นในวิญญาณ และเขาเข้าไปในถิ่นทุรกันดารจนถึงวันที่มาปรากฏตัวต่ออิสราเอล

Chapter 2

1 ในเวลานั้น เป็นเวลาที่ซีซาร์ออกัสตัสได้มีพระราชกฤษฎีกาสั่งให้ขึ้นทะเบียนสำมะโนครัวของทุกคนทั่วราชอาณาจักร 2 นี่เป็นการขึ้นทะเบียนสำมะโนครัวครั้งแรกในสมัยที่ควิริเนียสเป็นเจ้าเมืองซีเรีย 3 ดังนั้น ทุกคนจึงกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนของตน เพื่อขึ้นทะเบียนสำมะโนครัว 4 เช่นเดียวกับที่โยเซฟได้ขึ้นไปจากเมืองนาซาเร็ธในแคว้นกาลิลี ไปยังนครของดาวิดในแคว้นยูเดีย ที่เรียกว่าเบธเลเฮ็ม เพราะเขาเป็นเชื้อสายจากวงศ์วานของดาวิด 5 โยเซฟได้ไปที่นั่นเพื่อขึ้นทะเบียนพร้อมกับมารีย์ หญิงที่เขาได้หมั้นหมายไว้แล้ว และนางกำลังตั้งครรภ์ 6 ในขณะที่พวกเขายังอยู่ที่นั่น ก็ถึงกำหนดเวลาที่นางจะคลอดบุตร 7 นางได้ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งซึ่งเป็นบุตรชายหัวปีของนาง และนางพันพระองค์ไว้ด้วยผ้าอ้อม และวางพระองค์ไว้ในรางหญ้า เพราะไม่มีที่ว่างสำหรับพวกเขาในโรงแรม 8 มีพวกคนเลี้ยงแกะในแถบนั้นกำลังเลี้ยงฝูงแกะของพวกเขาอยู่ในทุ่งหญ้าในตอนกลางคืน 9 ทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ปรากฏต่อพวกเขา พระสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าส่องแสงล้อมรอบพวกเขา ทำให้พวกเขาตกใจกลัวยิ่งนัก 10 แล้วทูตสวรรค์องค์นั้นจึงกล่าวแก่พวกเขาว่า "อย่ากลัวเลย เพราะเรานำข่าวดีมายังท่าน ซึ่งเป็นข่าวที่จะนำความชื่นชมยินดีอันใหญ่หลวงมาสู่ทุกคน 11 วันนี้ พระผู้ช่วยให้รอดได้บังเกิดมาเพื่อท่านทั้งหลายในนครของดาวิด พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้า 12 นี่เป็นหมายสำคัญที่จะให้แก่ท่าน นั่นคือท่านจะได้พบทารกคนหนึ่งที่พันด้วยผ้าอ้อมไว้ และนอนอยู่ในรางหญ้า 13 ในทันใดนั้น ก็มีกองทัพแห่งสวรรค์จำนวนมากมายได้มาสรรเสริญพระเจ้าร่วมกับทูตสวรรค์นั้น และกล่าวว่า 14 "พระสิริจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด และสันติสุขจงบังเกิดบนโลกท่ามกลางคนทั้งปวงที่พระองค์ชอบพระทัย" 15 เมื่อทูตสวรรค์เหล่านั้นได้ละพวกเขากลับไปยังสวรรค์แล้ว พวกคนเลี้ยงแกะจึงบอกกันและกันว่า "ให้เราไปยังเบธเลเฮ็มกันเถอะ เพื่อดูสิ่งที่เกิดขึ้นตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าที่ได้แจ้งแก่เรา 16 พวกเขาจึงรีบไปที่นั่น และได้พบมารีย์กับโยเซฟ และเห็นทารกนั้นนอนอยู่ในรางหญ้า 17 หลังจากที่พวกเขาได้เห็นพระองค์แล้ว พวกเขาจึงเล่าเรื่องราวที่ได้ทราบมาเกี่ยวกับพระกุมาร 18 ทุกคนที่ได้ยินเรื่องราวที่พวกคนเลี้ยงแกะเล่าให้ฟัง ก็พากันประหลาดใจ 19 แต่มารีย์ได้คิดตรึกตรองเกี่ยวกับทุกสิ่งที่นางได้ยิน และเก็บรักษาเรื่องนั้นไว้ในใจ 20 พวกคนเลี้ยงแกะได้กลับไป ยกย่องและสรรเสริญพระเจ้าสำหรับทุกสิ่งที่พวกเขาได้เห็นและได้ยิน ตามที่ได้แจ้งแก่พวกเขา 21 เมื่อเสร็จสิ้นวันที่แปดซึ่งเป็นวันที่พระองค์ได้เข้าพิธีสุหนัต เขาจึงตั้งชื่อพระองค์ว่าเยซู ซึ่งเป็นนามที่ทูตสวรรค์ได้บอกไว้ก่อนที่พระองค์จะปฏิสนธิในครรภ์ 22 เมื่อครบกำหนดวันเพื่อการชำระให้บริสุทธิ์ตามพระบัญญัติของโมเสสแล้ว โยเซฟกับมารีย์ได้นำพระองค์ขึ้นไปยังพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อถวายพระองค์แด่องค์พระผู้เป็นเจ้า 23 ตามที่มีเขียนไว้ในพระบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า "ชายทุกคนที่เกิดจากครรภ์คนแรก จะต้องมอบถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า" 24 ดังนั้น พวกเขาจึงถวายเครื่องบูชาตามที่พระบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวไว้ คือ "นกเขาคู่หนึ่ง หรือนกพิราบหนุ่มสองตัว" 25 นี่แน่ะ มีชายคนหนึ่งอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มที่มีชื่อว่า สิเมโอน ชายคนนี้เป็นคนชอบธรรมและมีใจศรัทธา ท่านกำลังมองหาพระผู้ปลอบประโลมของอิสราเอล และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอยู่เหนือเขา 26 เขาได้รับการสำแดงจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ว่าเขาจะยังไม่เห็นความตาย ก่อนที่เขาจะได้เห็นองค์พระคริสต์เจ้า 27 สิเมโอนได้เข้ามาในพระวิหารโดยการทรงนำของพระวิญญาณ เมื่อบิดามารดาได้นำพระกุมารเยซูเข้ามา เพื่อทำตามธรรมเนียมปฏิบัติของพระบัญญัติ 28 เขาได้อุ้มพระองค์ไว้ในอ้อมแขนและสรรเสริญพระเจ้า และกล่าวว่า 29 "องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้ผู้รับใช้ของพระองค์จากไปด้วยสันติสุขตามพระดำรัสของพระองค์เถิด 30 เพราะตาของข้าพระองค์ได้เห็นความรอดของพระองค์ 31 ที่ได้จัดเตรียมไว้เพื่อทุกคนในยุคนี้ 32 แสงสว่างแห่งการเปิดเผยที่มาถึงคนต่างชาติและพระสิริที่มีต่อคนอิสราเอลประชากรของพระองค์" 33 บิดามารดาของพระกุมารนั้นก็ประหลาดใจในถ้อยคำที่เขาพูดเกี่ยวกับพระองค์ 34 สิเมโอนจึงอวยพรพวกเขาและบอกกับมารีย์ มารดาของพระองค์ว่า "นี่แน่ะ เด็กคนนี้ได้รับการแต่งตั้ง เพื่อทำให้ผู้คนมากมายในอิสราเอลตกต่ำลงหรือได้รับการยกชูขึ้น และเพื่อเป็นหมายสำคัญที่คนจะปฏิเสธ 35 และดาบจะแทงทะลุจิตใจของท่าน เพื่อที่ความคิดในใจของคนมากมายจะถูกเปิดเผยออกมา 36 ผู้เผยพระวจนะหญิงคนหนึ่งชื่ออันนาอยู่ที่นั่น นางเป็นบุตรสาวของฟานูเอลจากเผ่าอาเชอร์ นางชรามากแล้ว นางอยู่กินกับสามีเป็นเวลาเจ็ดปีหลังจากที่เป็นสาวพรหมจารีย์ 37 แล้วนางก็เป็นม่ายเป็นเวลาแปดสิบสี่ปี นางไม่เคยออกจากพระวิหาร แต่ได้รับใช้ด้วยการอดอาหารและอธิษฐานตลอดวันตลอดคืน 38 ในเวลานั้นเอง นางก็ได้เข้ามาหาพวกเขาและโมทนาพระคุณ และนางได้บอกเกี่ยวกับพระกุมารนั้นต่อทุกคนที่กำลังรอคอยการทรงไถ่ของกรุงเยรูซาเล็ม 39 เมื่อพวกเขาได้เสร็จสิ้นทุกสิ่งตามที่พระบัญญัติกำหนดให้ทำแล้ว พวกเขาจึงกลับไปยังนาซาเร็ทในแคว้นกาลิลีบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขา 40 พระกุมารนั้นก็เจริญเติบโตขึ้นและแข็งแรง เจริญขึ้นในสติปัญญา และพระคุณของพระเจ้าอยู่เหนือพระองค์ 41 บิดามารดาของพระองค์ได้ไปร่วมเทศกาลปัสกาที่กรุงเยรูซาเล็มทุกปี 42 เมื่อพระองค์อายุได้สิบสองปี พวกเขาก็พาพระองค์ขึ้นไปที่เทศกาลตามประเพณีนั้นอีกครั้งหนึ่ง 43 หลังจากที่พวกเขาอยู่จนครบวันของเทศกาลนั้น พวกเขาก็เริ่มเดินทางกลับบ้าน แต่พระเยซูยังคงอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม แต่บิดามารดาของพระองค์ไม่รู้ 44 พวกเขาคิดว่าพระองค์อยู่ในกลุ่มของคนที่เดินทางมาด้วยกันกับพวกเขา ดังนั้น เมื่อพวกเขาเดินทางไปได้หนึ่งวัน พวกเขาก็เริ่มมองหาพระองค์ในกลุ่มญาติและเพื่อนๆ ของพวกเขา 45 เมื่อพวกเขาหาพระองค์ไม่พบ พวกเขาจึงเดินทางกลับมายังกรุงเยรูซาเล็ม และตามหาพระองค์ที่นั่น 46 หลังจากนั้นสามวัน พวกเขาก็พบพระองค์กำลังนั่งอยู่ในพระวิหารท่ามกลางพวกอาจารย์ กำลังฟังและถามคำถามพวกเขาอยู่ 47 ทุกคนที่ได้ยินพระองค์ก็ประหลาดใจในความเข้าใจและคำตอบของพระองค์ 48 เมื่อพวกเขาเห็นพระองค์ พวกเขาก็ประหลาดใจ มารดาของพระองค์พูดกับพระองค์ว่า "ทำไมลูกถึงทำกับเราเช่นนี้? ฟังนะ พ่อและแม่ตามหาลูกด้วยความร้อนใจยิ่งนัก" 49 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "พวกท่านตามหาเราทำไม? พวกท่านไม่รู้หรือว่า เราต้องอยู่ในพระนิเวศของพระบิดาของเรา?" 50 แต่พวกเขาไม่เข้าใจถ้อยคำเหล่านั้นว่าพระองค์หมายถึงอะไร 51 แล้วพระองค์ก็กลับไปยังนาซาเร็ธพร้อมกับพวกเขาและเชื่อฟังพวกเขา มารดาของพระองค์ก็เก็บรักษาเรื่องราวนี้ไว้ในใจ 52 แต่พระเยซูก็เจริญขึ้นในด้านสติปัญญา และร่างกาย และเป็นที่ชอบต่อพระเจ้าและผู้คน"

Chapter 3

1 ในปีที่สิบห้าในรัชสมัยทิเบริอัส ซีซาร์ ขณะที่ปอนทิอัสปีลาตเป็นเจ้าเมืองยูเดีย เฮโรดเป็นผู้ครองแคว้นกาลิลี น้องชายของท่านคือฟิลิปเป็นผู้ครองแคว้นอิทูเรียและตราโคนิติส และลิซาเนียสเป็นผู้ครองแคว้นอาบีเลน 2 ในสมัยของมหาปุโรหิตอันนาสและคายาฟาส มีถ้อยคำของพระเจ้ามาถึงยอห์นบุตรเศคาริยาห์ในถิ่นทุรกันดาร 3 ท่านไปทั่วทุกภาคของจอร์แดน ประกาศเรื่องบัพติศมาสำแดงการกลับใจใหม่เพื่อรับการยกโทษบาป 4 ดังที่บันทึกไว้ในหนังสือถ้อยคำของอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะว่า "มีเสียงหนึ่งร้องเรียกในถิ่นทุรกันดารว่า 'ท่านควรเตรียมทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้พร้อม ท่านควรทำทางของพระองค์ให้ตรง! 5 หุบเขาทุกแห่งจะถมให้เต็ม ภูเขาและเนินเขาทุกแห่งจะทำให้ต่ำลงเสมอกัน ทางคดเคี้ยวจะทำให้ตรงและทางขรุขระจะทำให้เป็นทางราบ 6 และเนื้อหนังทั้งหมดจะเห็นการช่วยให้รอดของพระเจ้า'" 7 ยอห์นจึงกล่าวกับประชาชนกลุ่มใหญ่ที่ออกมารับบัพติศมาจากท่านว่า "โอ้ เจ้าชาติงูร้าย! ใครได้เตือนเจ้าให้หนีจากพระพิโรธและโทษที่กำลังจะมาถึง? 8 ฉะนั้น จงสำแดงให้เห็นผลของการกลับใจ อย่าคิดเหมาเอาเองว่า 'พวกเรามีอับราฮัมเป็นบิดา' เราขอบอกเจ้าว่าพระเจ้าสามารถให้บุตรทั้งหลายเกิดแก่อับราฮัมจากก้อนหินเหล่านี้ได้ 9 ตอนนี้ขวานก็วางอยู่ตรงโคนต้นแล้ว ดังนั้นต้นไม้ทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีย่อมถูกตัดและทิ้งลงในไฟ" 10 ดังนั้นฝูงชนจึงได้ย้ำถามท่านว่า "ถ้าเช่นนั้นแล้วพวกเราต้องทำอย่างไร?" 11 ท่านจึงตอบพวกเขาว่า "หากผู้ใดมีเสื้อสองตัว เขาก็ควรแบ่งให้คนที่ยังไม่มี และคนที่มีอาหารก็ควรทำเช่นเดียวกัน" 12 พวกคนเก็บภาษีก็มารับบัพติศมาด้วยและพวกเขาถามท่านว่า "อาจารย์ พวกเราควรทำสิ่งใด?" 13 ท่านบอกพวกเขาว่า "อย่าเก็บภาษีเกินจำนวนที่พวกท่านได้รับคำสั่งให้เก็บ" 14 มีทหารบางนายถามท่านเช่นกันว่า "แล้วพวกเราล่ะ? พวกเราต้องทำสิ่งใด?" ท่านตอบพวกเขาว่า "อย่าไปข่มขู่เอาเงินจากใคร อย่าไปกล่าวหาคนที่ไม่ได้ทำสิ่งใดผิด จงพอใจกับค่าจ้างที่พวกท่านได้รับ" 15 ขณะที่ผู้คนเหล่านี้กำลังคาดหวังอย่างแรงกล้าว่าพระคริสต์จะเสด็จมา ทุกคนต่างคิดในใจว่ายอห์นอาจจะเป็นพระคริสต์ 16 ยอห์นจึงได้ตอบพวกเขาทุกคนว่า "สำหรับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าให้บัพติศมาท่านด้วยน้ำก็จริง แต่ผู้หนึ่งซึ่งจะเสด็จมา ทรงฤทธิ์อำนาจยิ่งกว่าข้าพเจ้ามาก ข้าพเจ้าไม่คู่ควรแม้แต่จะแก้สายรัดฉลองพระบาทพระองค์ พระองค์จะให้บัพติศมาท่านด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ 17 คราดของพระองค์ก็อยู่ในหัตถ์พระองค์แล้วเพื่อชำระลานนวดข้าวของพระองค์และเพื่อแยกข้าวไปไว้ในยุ้งฉางของพระองค์ แต่พระองค์จะทรงเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่รู้ดับ" 18 ยอห์นใช้การกระตุ้นเตือนหลายประการแบบนี้ในการประกาศข่าวประเสริฐกับผู้คน 19 เมื่อเฮโรดผู้ครองแคว้นถูกติเตียนเรื่องที่แต่งงานกับเฮโรเดียสภรรยาของน้องชายและเรื่องความชั่วช้าทั้งสิ้นที่เฮโรดเคยทำ 20 เขาเพิ่มสิ่งนี้เข้าไปรวมกับความชั่วช้าหลายๆอย่างที่เคยทำ ด้วยการจับยอห์นเข้าคุก 21 ต่อมาเมื่อคนเหล่านั้นรับบัพติศมา พระเยซูก็รับบัพติศมาด้วย และขณะที่พระองค์กำลังอธิษฐาน ท้องฟ้าก็เปิดออก 22 และพระวิญญาณบริสุทธิ์รูปทรงดั่งนกเขาลงมาบนพระองค์และมีพระสุรเสียงดังมาจากฟ้าสวรรค์ว่า "ท่านผู้เป็นบุตรที่รักของเรา เราพอใจเจ้ามาก" 23 พระเยซูทรงเริ่มพันธกิจของพระองค์เมื่อพระชนมายุราวสามสิบพรรษา (ตามความเข้าใจของผู้คน) พระองค์เป็นบุตรโยเซฟ โยเซฟเป็นบุตรเฮลี 24 เฮลีเป็นบุตรมัทธัต มัทธัตเป็นบุตรเลวี เลวีเป็นบุตรเมลคี เมลคีเป็นบุตรยันนาย ยันนายเป็นบุตรโยเซฟ 25 โยเซฟเป็นบุตรมัทธาธิอัส มัทธาธิอัสเป็นบุตรอาโมส อาโมสเป็นบุตรนาฮูม นาฮูมเป็นบุตรเอสลี เอสลีเป็นบุตรนักกาย 26 นักกายเป็นบุตรมาอาท มาอาทเป็นบุตรมัทธาธิอัส มัทธาธิอัสเป็นบุตรเสเมอิน เสเมอินเป็นบุตรโยเสค โยเสคเป็นบุตรโยดา 27 โยดาเป็นบุตรโยอานัน โยอานันเป็นบุตรเรซา เรซาเป็นบุตรเศรุบบาเบล เศรุบบาเบลเป็นบุตรเชอัลทิเอล เชอัลทิเอลเป็นบุตรเนรี 28 เนรีเป็นบุตรเมลคี เมลคีเป็นบุตรอัดดี อัดดีเป็นบุตรโคสัม โคสัมเป็นบุตรเอลมาดัม เอลมาดัมเป็นบุตรเอร์ 29 เอร์เป็นบุตรโยชูวา โยชูวาเป็นบุตรเอลีเอเซอร์ เอลีเอเซอร์เป็นบุตรโยริม โยริมเป็นบุตรมัทธัต มัทธัตเป็นบุตรเลวี 30 เลวีเป็นบุตรสิเมโอน สิเมโอนเป็นบุตรยูดาห์ ยูดาห์เป็นบุตรโยเซฟ โยเซฟเป็นบุตรโยนาม โยนามเป็นบุตรเอลียาคิม 31 เอลียาคิมเป็นบุตรเมเลอา เมเลอาเป็นบุตรเมนนา เมนนาเป็นบุตรมัทตะธา มัทตะธาเป็นบุตรนาธัน นาธันเป็นบุตรดาวิด 32 ดาวิดเป็นบุตรเจสสี เจสสีเป็นบุตรโอเบด โอเบดเป็นบุตรโบอาส โบอาสเป็นบุตรสัลโมน สัลโมนเป็นบุตรนาโชน 33 นาโชนเป็นบุตรอัมมีนาดับ อัมมีนาดับเป็นบุตรอัดมิน อัดมินเป็นบุตรอารนี อารนีเป็นบุตรเฮสโรน เฮสโรนเป็นบุตรเปเรศ เปเรศเป็นบุตรยูดาห์ 34 ยูดาห์เป็นบุตรยาโคบ ยาโคบเป็นบุตรอิสอัค อิสอัคเป็นบุตรอับราฮัม อับราฮัมเป็นบุตรเทราห์ เทราห์เป็นบุตรนาโฮร์ 35 นาโฮร์เป็นบุตรเสรุก เสรุกเป็นบุตรเรอู เรอูเป็นบุตรเปเรก เปเรกเป็นบุตรเอเบอร์ เอเบอร์เป็นบุตรเชลาห์ 36 เชลาห์เป็นบุตรไคนาน ไคนานเป็นบุตรอารฟาซัด อารฟาซัดเป็นบุตรเชม เชมเป็นบุตรโนอาร์ โนอาร์เป็นบุตรลาเมค 37 ลาเมคเป็นบุตรเมธูเสลาห์ เมธูเสลาห์เป็นบุตรเอโนค เอโนคเป็นบุตรยาเรด ยาเรดเป็นบุตรมาหะลาเลล มาหะลาเลลเป็นบุตรไคนาน 38 ไคนานเป็นบุตรเอโนส เอโนสเป็นบุตรเสท เสทเป็นบุตรอาดัม อาดัมเป็นบุตรของพระเจ้า

Chapter 4

1 จากนั้น พระเยซูทรงเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้กลับจากแม่น้ำจอร์แดน และพระวิญญาณทรงนำเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร 2 ที่ซึ่งพระองค์ถูกมารทดลองถึงสี่สิบวัน ในเวลานั้นพระองค์ไม่ได้รับประทานสิ่งใด เมื่อเวลาแห่งการทดลองสิ้นสุดลงพระองค์ก็ทรงหิว 3 มารพูดกับพระองค์ว่า "ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินนี้ให้เป็นขนมปัง" 4 พระเยซูตอบว่า "ตามที่มีเขียนไว้ว่า มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวก็ไม่ได้" 5 จากนั้น มารได้นำพระเยซูไปยังที่สูง และแสดงราชอาณาจักรต่างๆ ของ โลกให้พระองค์เห็นชั่วขณะหนึ่ง 6 มารพูดกับพระองค์ว่า "ข้าจะให้สิทธิอำนาจทุกอย่างแก่ท่านรวมทั้งความรุ่งโรจน์ เพราะว่าอาณาจักรเหล่านี้ได้ถูกมอบไว้ให้ข้าปกครองและข้าก็สามารถมอบให้ใครก็ได้ 7 ดังนั้น หากท่านก้มกราบและนมัสการข้า สิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นของท่าน 8 แต่พระเยซูตรัสตอบมันว่า "ดังที่มีเขียนไว้ว่า ท่านจะนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านและรับใช้พระองค์เพียงผู้เดียว" 9 จากนั้นมารได้นำพระเยซูเข้าไปยังเยรูซาเล็มและนำพระองค์ขึ้นไปยังยอดสูงสุดของพระวิหาร และพูดกับพระองค์ว่า "หากท่านเป็นบุตรของพระเจ้า จงกระโดดลงไปจากที่นี่ 10 เพราะมีเขียนไว้ว่า พระองค์จะสั่งทูตสวรรค์ของพระองค์ดูแลและปกป้องท่าน 11 และพวกเขาจะเอามือประคองท่านไม่ให้เท้าของท่านกระทบหิน" 12 พระเยซูตรัสตอบมันว่า " มีคำกล่าวว่า อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเจ้า" 13 เมื่อมารเสร็จสิ้นการทดลองพระองค์แล้วก็จากไปและละพระองค์ไว้จนกว่าจะมีโอกาส 14 จากนั้น พระเยซูทรงกลับไปยังกาลิลีด้วยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณและกิตติศัพท์ของพระองค์ได้เลื่องลือไปทั่วดินแดนที่อยู่ล้อมรอบ 15 และพระองค์เริ่มสั่งสอนในธรรมศาลาของพวกเขาและทุกคนก็พากันสรรเสริญพระองค์ 16 พระองค์มายังนาซาเร็ธ เมืองที่พระองค์ทรงเจริญเติบโตขึ้น พระองค์เข้าไปยังธรรมศาลาในวันสะบาโตเป็นกิจวัตร และยืนขึ้นเพื่ออ่านพระคำ 17 พวกเขาจึงยื่นม้วนหนังสือผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ให้พระองค์ พระองค์ทรงเปิดม้วนหนังสือและพบตรงที่เขียนไว้ว่า 18 "พระวิญญาณของพระเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะทรงเจิมข้าพเจ้าให้บอกข่าวดีแก่ผู้ยากไร้ พระองค์ส่งข้าพเจ้ามาประกาศอิสรภาพแก่ผู้ถูกจองจำ และเปิดตาคนตาบอดได้มองเห็น เพื่อปลดปล่อยผู้ที่ถูกกดขี่ให้ได้รับอิสระ 19 เพื่อประกาศปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า" 20 จากนั้นทรงม้วนหนังสือ ส่งคืนแก่ผู้ดูแล และนั่งลง สายตาทุกคู่ในธรรมศาลาจ้องมองพระองค์ 21 พระองค์เริ่มตรัสกับพวกเขาว่า "พระคัมภีร์ที่ท่านได้ยินวันนี้ได้สำเร็จลงแล้ว" 22 ทุกคนที่อยู่ที่นั่นเป็นพยานในสิ่งที่พระองค์ตรัส และต่างก็พากันประหลาดใจกับถ้อยคำแห่งพระคุณที่ออกจากปากพระองค์ พวกเขาพูดกันว่า "นี่คือบุตรชายของโยเซฟ มิใช่หรือ?" 23 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "พวกท่านคงจะต้องกล่าวคำสุภาษิตนี้แก่ข้าพเจ้าเป็นแน่ว่า "หมอจงรักษาตนเองเถิด อะไรก็ตามที่พวกเราได้ยินว่าท่านได้กระทำในคาเปอร์นาอูม ก็ขอจงกระทำเช่นเดียวกันในบ้านเกิดของท่านเถิด" 24 แต่พระองค์ตรัสว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ไม่มีผู้เผยพระวจนะคนใดได้รับการต้อนรับในบ้านเมืองของตนเอง 25 แต่เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ในสมัยของเอลียาห์มีหญิงม่ายมากมายในแผ่นดินอิสราเอล ขณะที่ท้องฟ้าปิดเป็นเวลาสามปีหกเดือนและเกิดการกันดารครั้งใหญ่ทั่วแผ่นดิน 26 แต่เอลียาห์ไม่ได้ถูกส่งไปหาผู้ใดยกเว้นหญิงม่ายชาวเศราฟัทในไซดอนที่อาศัยอยู่ที่นั่น 27 และมีคนโรคเรื้อนมากมายในแผ่นดินอิสราเอลในสมัยของผู้เผยพระวจนะเอลีชา แต่ไม่มีผู้ใดที่ได้รับการรักษายกเว้น นาอามานคนซีเรีย 28 ทุกคนที่อยู่ในธรรมศาลาพากันเดือดดาลเมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ 29 พวกเขาลุกขึ้นและไล่พระองค์ออกไปนอกเมือง และพาพระองค์ไปยังหน้าผาของเนินเขาที่เมืองตั้งอยู่ เพื่อจะผลักพระองค์ให้ตกหน้าผาไป 30 แต่พระองค์ทรงดำเนินผ่านพวกเขาไปและไปยังที่อีกแห่งหนึ่ง 31 จากนั้น พระองค์ได้ลงไปยังเมืองคาเปอร์นาอูมซึ่งเป็นเมืองหนึ่งในกาลิลี และเริ่มต้นสั่งสอนพวกเขาในวันสะบาโต 32 พวกเขาพากันประหลาดใจในคำสอนของพระองค์เพราะพระองค์ตรัสด้วยสิทธิอำนาจ 33 ในธรรมศาลานั้น มีชายคนหนึ่งมีผีโสโครกสิงอยู่ และเขาตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า 34 "โอ... พวกเราได้ทำอะไรให้แก่ท่านหรือ เยซูชาวนาซาเร็ธ? ท่านมาเพื่อทำลายพวกเราหรือ? ข้ารู้ว่าท่านคือองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า" 35 พระเยซูขนาบผีร้าย โดยตรัสว่า "จงหยุดพูดและออกจากเขา" เมื่อผีร้ายทำให้ชายนั้นล้มลงท่ามกลางพวกเขา มันได้ออกจากเขาและไม่ได้ทำอันตรายใดๆ แก่เขา 36 ผู้คนต่างพากันประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งและพูดต่อกันถึงเรื่องนี้ พวกเขาพูดกันว่า "ถ้อยคำเหล่านี้เป็นแบบไหนหรือ? เขาสั่งให้ผีโสโครกออกมาด้วยสิทธิอำนาจและฤทธิ์เดชและพวกมันก็ออกมา" 37 และกิตติศัพท์ของพระองค์ก็เริ่มเลื่องลือไปทั่วทุกภาคในพื้นที่นั้น 38 เมื่อพระเยซูออกจากธรรมศาลาและไปยังบ้านของซีโมน แม่ยายของซีโมนล้มป่วยเป็นไข้สูง และพวกเขาขอร้องแทนนางให้พระองค์รักษา 39 พระองค์มองดูที่นางและขนาบอาการไข้ และไข้ก็หายไป ทันใดนั้น นางก็ลุกขึ้นและเริ่มปรนนิบัติรับใช้พวกเขา 40 ในเวลาพลบค่ำ ประชาชนก็พาทุกคนที่เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ มาหาพระองค์ พระองค์ทรงวางมือบนพวกเขาและรักษาพวกเขาให้หายทุกคน 41 พวกผีร้ายก็ออกจากพวกเขา พากันร้องอึงและพูดว่า "ท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า" พระองค์ขนาบผีร้ายและไม่ให้มันพูดเพราะพวกมันรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ 42 เมื่อถึงเวลารุ่งเช้า พระองค์ทรงออกไปยังที่เปลี่ยว ฝูงชนก็พากันมองหาพระองค์และมายังสถานที่ที่พระองค์อยู่ พวกเขาพยายามห้ามพระองค์ไม่ให้ไปจากพวกเขา 43 แต่พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "เราต้องไปประกาศข่าวดีเกี่ยวกับราชอาณาจักรของพระเจ้าแก่ผู้คนในเมืองอื่นๆ อีกมากมาย เพราะนี่เป็นเหตุผลที่เราถูกส่งมาที่นี่" 44 จากนั้นพระเยซูทรงเทศนาในธรรมศาลาตลอดแคว้นยูเดียต่อไป

Chapter 5

1 บัดนี้สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะที่ฝูงชนล้อมรอบพระเยซูและฟังพระวจนะของพระเจ้าที่พระองค์ยืนอยู่ริมฝั่งทะเลสาบเยนเนซาเรท 2 พระองค์มองเห็นเรือสองลำกำลังถูกลากขึ้นมาที่ริมขอบฝั่งทะเลสาบ ชาวประมงลงมาจากเรือและกำลังซักอวนจับปลาของพวกเขา 3 พระเยซูจึงเสด็จลงไปในเรือลำหนึ่งซึ่งเป็นของซีโมน พระองค์ขอให้เขาถอยเรือออกไปในทะเลสาบโดยห่างจากริมฝั่งเล็กน้อย แล้วพระองค์จึงนั่งลงและสอนประชาชนจากเรือลำนั้น 4 เมื่อพระองค์สั่งสอนเสร็จแล้ว พระองค์ตรัสกับซีโมนว่า "จงถอยเรือออกไปยังที่น้ำลึกและหย่อนอวนลงไปจับปลา" 5 ซีโมนตอบว่า "ท่านอาจารย์ พวกเราทำงานมาทั้งคืนและจับปลาไม่ได้เลย แต่เพราะพระองค์ตรัส ข้าพเจ้าจะหย่อนอวนลงไปจับปลา" 6 เมื่อพวกเขาทำสิ่งนี้ พวกเขาจับปลาได้จำนวนมาก จนอวนของพวกเขากำลังจะขาด 7 ดังนั้นพวกเขาจึงส่งสัญญาณมือให้กับเพื่อนๆของพวกเขาที่อยู่ในเรือลำอื่นให้มาช่วยเหลือ พวกเขามาช่วยและเรือทั้งสองลำของพวกเขาก็เต็มจนเกือบจะจม 8 แต่เมื่อซีโมนเปโตรเห็นดังนั้น เขาจึงทรุดตัวลงที่หัวเข่าของพระเยซูและทูลว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอเสด็จออกไปห่างจากข้าพระองค์เถิด เพราะข้าพระองค์เป็นคนบาป" 9 เพราะเขากับคนทั้งหลายที่อยู่กับเขาต่างก็ประหลาดใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่พวกเขาจับปลาได้ 10 คนเหล่านี้รวมถึงยากอบและยอห์น บุตรของเศเบดี พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมงานของซีโมน และพระเยซูจึงตรัสกับซีโมนว่า "อย่ากลัวเลย เพราะจากนี้ไปท่านจะเป็นผู้จับคน" 11 เมื่อพวกเขานำเรือเข้าฝั่ง พวกเขาจึงละทิ้งทุกสิ่งไว้ที่นั่นและติดตามพระองค์ไป 12 ในขณะที่พระองค์อยู่ในเมืองๆหนึ่ง มีชายคนหนึ่งที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนอยู่ที่นั่น เมื่อเขาเห็นพระเยซู เขาซบหน้าลงและอ้อนวอนพระองค์ว่า "พระองค์เจ้า ถ้าหากพระองค์พอพระทัย ข้าพระองค์ก็จะหายสะอาด" 13 แล้วพระเยซูจึงยื่นมือของพระองค์ออกไปสัมผัสเขา พระองค์ตรัสว่า "เราพอใจ จงหายสะอาดเถิด" แล้วชายที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนก็จากพระองค์ไปในทันที 14 พระองค์สั่งเขาไม่ให้บอกใคร แต่พระองค์บอกเขาว่า "จงไปตามทางของท่าน และไปสำแดงตนเองให้แก่ปุโรหิตและถวายเครื่องบูชาเพื่อการรักษาให้หายสะอาดของท่านตามคำบัญชาของโมเสสเพื่อเป็นคำพยานต่อพวกเขา" 15 แต่เรื่องราวของพระองค์กลับถูกเผยแพร่ไปไกลมากขึ้น และฝูงชนกลุ่มใหญ่ได้มาอยู่ร่วมกันเพื่อฟังคำสอนของพระองค์ และเพื่อจะได้รับการรักษาให้หายจากโรคต่างๆ 16 แต่พระองค์มักจะปลีกตัวออกไปยังถิ่นกันดารและอธิษฐาน 17 อยู่มาวันหนึ่งในขณะที่พระองค์กำลังสั่งสอน มีพวกฟาริสีและพวกอาจารย์สอนบัญญัตินั่งอยู่ที่นั่น พวกเขามาจากหมู่บ้านต่างๆในแคว้นกาลิลี แคว้นยูเดีย และจากกรุงเยรูซาเล็ม ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าสถิตอยู่กับพระองค์เพื่อการรักษาโรค 18 มีผู้ชายบางคนได้หามเสื่อที่มีชายคนหนึ่งซึ่งเป็นง่อยนอนอยู่บนเสื่อนั้นมาหาพระองค์ พวกเขาพยายามหาทางที่จะนำชายง่อยคนนั้นเข้ามาข้างในเพื่อวางเขาลงต่อหน้าพระเยซู 19 พวกเขาไม่สามารถหาทางเข้าไปได้เพราะมีฝูงชนเบียดเสียดแน่นไปหมด ดังนั้นพวกเขาจึงขึ้นไปบนหลังคาบ้าน แล้วหย่อนเชือกเอาชายที่เป็นง่อยคนนั้นลงมาต่อหน้าพระเยซูท่ามกลางฝูงชนทั้งหลาย 20 พระเยซูมองเห็นความเชื่อของพวกเขาจึงตรัสว่า "บุรุษเอ๋ย ความบาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว" 21 พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีเริ่มต้นตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งนี้ พวกเขาพูดกันว่า "คนนี้เป็นใครถึงได้พูดจาดูหมิ่นเช่นนี้? ใครหรือที่สามารถอภัยบาปได้นอกจากพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น?" 22 แต่พระเยซูรู้ถึงความคิดของพวกเขาจึงตรัสตอบพวกเขาว่า "ทำไมพวกท่านจึงตั้งคำถามนี้ในหัวใจของพวกท่าน? 23 อย่างไหนจะง่ายกว่ากันหรือกับการพูดว่า 'ความบาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว' หรือ 'จงลุกขึ้นและเดิน?' 24 แต่เหมือนกับที่พวกท่านอาจรู้แล้วว่าบุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจบนแผ่นดินโลกนี้เพื่อให้อภัยความบาป เราบอกกับท่านว่า 'จงลุกขึ้น เก็บเสื่อของท่านและกลับบ้านของท่าน'" 25 ในทันใดนั้นเขาลุกขึ้นต่อหน้าคนทั้งปวงและเก็บเสื่อที่เขานอนแล้วกลับไปยังบ้านของตนพร้อมกับถวายเกียรติแด่พระเจ้า 26 ทุกคนต่างก็ประหลาดใจและพวกเขาถวายเกียรติแด่พระเจ้า พวกเขาเต็มไปด้วยความเกรงกลัวและพูดกันว่า "วันนี้พวกเราได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น" 27 หลังจากสิ่งต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้น พระเยซูเสด็จออกไปจากที่นั่น และพระองค์มองเห็นคนเก็บภาษีคนหนึ่งชื่อว่า เลวี นั่งอยู่ที่ด่านเก็บภาษี พระองค์ตรัสกับเขาว่า "จงตามเรามา" 28 เลวีจึงลุกขึ้น ตามพระองค์ไป และทิ้งทุกสิ่งเอาไว้ 29 แล้วเลวีจึงจัดงานเลี้ยงใหญ่ต้อนรับพระเยซูในบ้านของเขา มีคนเก็บภาษีจำนวนมากอยู่ที่นั่นและคนอื่นๆที่เอนกายลงที่โต๊ะและรับประทานอาหารร่วมกับพระองค์ 30 แต่พวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์กำลังบ่นว่าพวกสาวกของพระองค์ พวกเขาบ่นว่า "ทำไมพวกท่านจึงกินและดื่มร่วมกันกับคนเก็บภาษีและคนบาปอื่นๆ?" 31 พระเยซูตอบพวกเขาว่า "คนที่มีสุขภาพดีแล้วก็ไม่ต้องการหมอรักษา มีแต่คนป่วยเท่านั้นที่ต้องการ 32 เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรมให้กลับใจ แต่มาเรียกคนบาปให้กลับใจ" 33 พวกเขาพูดกับพระองค์ว่า "พวกสาวกของยอห์นมักจะถืออดอาหารและอธิษฐาน และพวกสาวกของฟาริสีก็ทำอย่างเดียวกัน แต่พวกสาวกของท่านกลับกินและดื่ม" 34 พระเยซูตอบพวกเขาว่า "มีเพื่อนเจ้าบ่าวคนใดหรือที่ถืออดอาหารในขณะที่เจ้าบ่าวยังคงอยู่กับพวกเขา 35 แต่วันนั้นจะมาถึงเมื่อเจ้าบ่าวถูกนำตัวไปจากพวกเขา และในวันเหล่านั้นพวกเขาจึงจะถืออดอาหาร" 36 แล้วพระเยซูจึงตรัสเป็นคำอุปมาแก่พวกเขาว่า "ไม่มีใครเอาเศษชิ้นผ้าจากเสื้อตัวใหม่เพื่อมาปะเสื้อเก่า เพราะถ้าเขาทำแบบนั้น เขาจะต้องฉีกเสื้อตัวใหม่ และเศษชิ้นผ้าของเสื้อตัวใหม่ก็จะไม่เข้ากันกับเสื้อตัวเก่า 37 และไม่มีใครเอาเหล้าองุ่นใหม่ใส่ลงไปในถุงหนังองุ่นเก่า ถ้าเขาทำอย่างนั้น เหล้าองุ่นใหม่จะกัดถุงหนังจนขาด และเหล้าองุ่นก็จะไหลทะลักออกมา แล้วถุงหนังองุ่นนั้นก็จะเสียไปใช้การไม่ได้ 38 แต่เหล้าองุ่นใหม่ต้องใส่ในถุงหนังองุ่นใหม่ 39 และไม่มีใครที่ได้ดื่มเหล้าองุ่นเก่าแล้วจะต้องการเหล้าองุ่นใหม่ เพราะเขาจะบอกว่า 'เหล้าองุ่นเก่าดีกว่า'"

Chapter 6

1 เมื่อถึงวันสะบาโต ในขณะที่พระเยซูเสด็จผ่านทุ่งนา พวกสาวกของพระองค์ได้เด็ดรวงข้าว และขยี้มันในฝ่ามือและกินเมล็ดข้าวนั้น 2 แต่พวกฟาริสีบางคนกล่าวว่า "ทำไมพวกเจ้าจึงทำสิ่งที่เป็นข้อห้ามตามพระบัญญัติในวันสะบาโต?" 3 พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า "พวกท่านไม่เคยอ่านเรื่องที่ดาวิดได้กระทำตอนที่ท่านหิวโหย ทั้งดาวิดและพวกคนที่อยู่กับท่านหรือ? 4 ท่านได้ไปที่พระวิหารของพระเจ้า และเอาขนมปังหน้าพระพักตร์มารับประทาน และยังให้ขนมปังนั้นแก่คนที่มากับท่านรับประทานด้วย แม้ว่าพระบัญญัติจะกำหนดให้พวกปุโรหิตเท่านั้นที่สามารถรับประทานได้" 5 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "บุตรมนุษย์เป็นเจ้านายเหนือวันสะบาโต" 6 เมื่อมาถึงวันสะบาโตอีกวันหนึ่ง พระองค์เสด็จไปที่ธรรมศาลา และสอนประชาชนที่นั่น มีชายคนหนึ่งที่มีมือขวาลีบอยู่ที่นั่น 7 พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีก็จับตาอยู่ที่พระองค์ เพื่อจะดูว่าพระองค์จะทรงรักษาใครในวันสะบาโตหรือไม่ เพื่อที่เขาจะหาเหตุที่จะกล่าวหาพระองค์ในการทำสิ่งที่ผิด 8 แต่พระองค์ทรงทราบว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ พระองค์จึงตรัสกับชายที่มีมือลีบคนนั้นว่า "ลุกขึ้นและมายืนอยู่ตรงกลางของทุกคน" ดังนั้น เขาจึงลุกขึ้นและมายืนอยู่ที่นั่น 9 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "เราถามท่านว่า อะไรที่เป็นการกระทำตามพระบัญญัติวันสะบาโต การทำดี หรือการทำร้าย การช่วยชีวิตหรือการทำลายชีวิต?" 10 แล้วพระองค์ทรงมองพวกเขาไปรอบๆ และตรัสกับชายคนนั้นว่า "จงเหยียดมือของเจ้าออกมา" เขาก็ทำตามนั้น มือของเขาก็หายเป็นปกติ 11 แต่คนเหล่านั้นเต็มไปด้วยความโกรธ และพูดต่อกันและกันว่าจะทำอย่างไรกับพระเยซู 12 ในเวลานั้น พระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐาน พระองค์อธิษฐานต่อพระเจ้าตลอดคืน 13 เมื่อถึงตอนเช้า พระองค์ทรงเรียกพวกสาวกมาหาพระองค์ พระองค์ทรงเลือกสิบสองคนในพวกเขา ซึ่งเป็นผู้ที่พระองค์ทรงให้ชื่อว่า "อัครสาวก" 14 ชื่อของบรรดาอัครสาวก คือ ซีโมน (ผู้ที่พระองค์ทรงตั้งชื่อให้ว่าเปโตร) และอันดรูว์น้องชายของเขา ยากอบ ยอห์น ฟีลิป บาร์โธโลมิว 15 มัทธิว โธมัส ยากอบบุตรของอัลเฟอัส ซีโมนที่เรียกกันว่าเศโลเท 16 ยูดาสบุตรของยากอบ และยูดาสอิสคาริโอท ผู้ที่กลายเป็นคนทรยศ 17 เมื่อพระเยซูเสด็จลงมาจากภูเขาพร้อมกับพวกเขา และทรงยืนอยู่บนพื้นที่ราบ พวกสาวกของพระองค์จำนวนมากก็อยู่ที่นั่น เช่นเดียวกับประชาชนมากมายที่มาจากยูเดียและเยรูซาเล็ม และมาจากชายฝั่งทะเลของเมืองไทระและไซดอน 18 พวกเขามาหาพระองค์เพื่อที่จะฟังพระองค์ และได้รับการรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ให้หาย คนที่ทนทุกข์จากวิญญาณโสโครกก็ได้รับการรักษาให้หายด้วย 19 ทุกคนในฝูงชนต่างก็พยายามที่จะสัมผัสพระองค์ เพราะฤทธิ์แห่งการรักษาโรคออกมาจากพระองค์ และพระองค์ทรงรักษาพวกเขาให้หายทุกคน 20 แล้วพระองค์ทรงมองที่พวกสาวกและตรัสว่า "ท่านทั้งหลายที่ยากจนก็เป็นสุข เพราะราชอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของท่าน 21 ท่านทั้งหลายที่หิวโหยก็เป็นสุข เพราะท่านจะได้อิ่ม ท่านทั้งหลายที่ร้องไห้คร่ำครวญในเวลานี้ก็เป็นสุข เพราะท่านจะได้หัวเราะ" 22 เมื่อคนทั้งหลายเกลียดชังท่านก็เป็นสุข และเมื่อพวกเขาขับไล่ท่าน และปฏิบัติต่อนามของท่านอย่างกับเป็นคนชั่วร้าย เพราะเห็นแก่บุตรมนุษย์ 23 จงชื่นชมยินดีในวันนั้น และกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี เพราะท่านมั่นใจได้ว่าจะได้รับรางวัลที่ยิ่งใหญ่ในสวรรค์ เพราะบรรพบุรุษของพวกเขาก็ได้ปฏิบัติต่อบรรดาผู้เผยพระวจนะเช่นเดียวกัน 24 แต่วิบัติจงมีแก่ท่านที่ร่ำรวย เพราะท่านได้รับความสุขสบายแล้ว 25 วิบัติจงมีแก่ท่านท่านที่อิ่มในเวลานี้ เพราะท่านจะต้องหิวโหยในภายหลัง วิบัติจงมีแก่ท่านที่หัวเราะอยู่ในเวลานี้ เพราะท่านจะต้องโศกเศร้าและร้องไห้คร่ำครวญในภายหลัง 26 วิบัติจงมีแก่ท่าน เมื่อทุกคนบอกว่าท่านดี เพราะบรรพบุรุษของพวกเขาก็ปฏิบัติต่อผู้เผยพระวจนะเท็จเช่นเดียวกัน 27 แต่เราบอกแก่ท่านที่กำลังฟังอยู่ว่า จงรักศัตรูของท่าน และทำดีต่อคนที่เกลียดชังท่าน 28 จงอวยพรแก่คนที่แช่งด่าท่าน และจงอธิษฐานเผื่อคนที่ปฏิบัติไม่ดีต่อท่าน 29 ผู้ที่ตบแก้มข้างหนึ่งของท่าน จงหันอีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย ถ้าใครเอาเสื้อคลุมของท่านไป ก็อย่าหวงหากเขาจะเอาเสื้อของท่านไปด้วย 30 จงให้แก่ทุกคนที่ขอจากท่าน ถ้าใครเอาสิ่งที่เป็นของท่านไป อย่าได้ทวงถามเพื่อที่จะเอาคืน 31 ท่านควรจะปฏิบัติต่อคนทั้งปวงเหมือนอย่างที่ท่านต้องการให้พวกเขาปฏิบัติต่อท่าน 32 ถ้าท่านรักเฉพาะคนที่รักท่าน ท่านจะได้รับการยกย่องหรือ? เพราะแม้แต่พวกคนบาปก็รักคนที่รักพวกเขา 33 ถ้าท่านทำดีเฉพาะคนที่ทำดีต่อท่าน ท่านจะได้รับการยกย่องหรือ? เพราะพวกคนบาปก็ทำเช่นเดียวกัน 34 ถ้าท่านให้ยืมสิ่งของเฉพาะคนที่ท่านหวังว่าจะได้คืน ท่านจะได้รับการยกย่องหรือ? แม้แต่คนบาปก็ให้คนบาปยืม และหวังว่าจะได้รับคืนจำนวนเดิม 35 แต่จงรักศัตรูของท่าน และทำดีต่อพวกเขา จงให้พวกเขายืม โดยที่ไม่ต้องห่วงว่าจะได้สิ่งใดคืน และท่านจะได้รับรางวัลที่ยิ่งใหญ่ ท่านจะได้เป็นบุตรขององค์ผู้สูงสุด เพราะพระองค์เองทรงพระกรุณาต่อคนที่อกตัญญูและคนชั่วร้ายเหล่านั้น 36 จงมีเมตตาเหมือนอย่างที่พระบิดาทรงเมตตา 37 อย่าตัดสิน และท่านจะไม่ถูกตัดสิน อย่ากล่าวหา และท่านจะไม่ถูกกล่าวหา จงให้อภัยต่อคนอื่นๆ และท่านจะได้รับการอภัย 38 จงให้คนอื่น และท่านจะได้รับด้วย ในจำนวนที่มากมาย ยัดแน่น เขย่าเข้าด้วยกัน และล้นไหล ซึ่งจะเทลงมาบนตักของท่าน เพราะไม่ว่าท่านจะตวงด้วยมาตรฐานอันใด ก็จะตวงให้ท่านด้วยมาตรฐานเดียวกันนั้น 39 แล้วพระองค์จึงตรัสแก่พวกเขาเป็นคำอุปมาว่า "คนตาบอดจะนำทางคนตาบอดได้หรือ? ถ้าเขาทำอย่างนั้น เขาทั้งสองคนก็จะตกลงไปในบ่อ ไม่ใช่หรือ? 40 ศิษย์ไม่เป็นใหญ่กว่าครู แต่ทุกคนที่ได้รับการฝึกฝนอย่างดีแล้ว ก็จะเป็นกับเหมือนครูของพวกเขา 41 ทำไมท่านจึงมองดูผงเล็กๆ ที่อยู่ในตาของพี่น้องของท่าน แต่ไม่ได้สังเกตเห็นท่อนซุงที่อยู่ในตาของท่านเอง? 42 ท่านจะพูดกับพี่น้องของท่านอย่างไรว่า "พี่น้องเอ๋ย ขอให้ข้าพเจ้าเอาผงที่อยู่ในตาท่านออกไป ในเมื่อท่านเองไม่สามารถที่จะมองเห็นท่อนซุงที่อยู่ในตาของท่านเอง? ท่านเป็นคนหน้าซื่อใจคด ท่านต้องเอาท่อนซุงออกจากตาของท่านเสียก่อน แล้วท่านจึงจะมองเห็นได้อย่างชัดเจน ที่จะเอาผงที่อยู่ในตาของพี่น้องของท่านออกมาได้ 43 เพราะไม่มีต้นไม้ดีที่ออกผลเน่า หรือไม่มีต้นไม้เน่าที่ออกผลดี 44 เพราะจะรู้จักต้นไม้แต่ละต้นได้จากชนิดของผลที่มันออกผลมา เพราะคนจะไม่เก็บผลมะเดื่อจากพุ่มหนาม หรือพวกเขาก็จะไม่เก็บผลองุ่นจากพุ่มไม้ที่มีหนามเช่นกัน 45 คนดีก็นำสิ่งดีที่มีอยู่ในคลังสิ่งที่ดีในใจของเขาออกมา คนชั่วก็นำสิ่งที่ชั่วจากคลังสิ่งที่ชั่วในใจของเขาออกมา เพราะจากสิ่งที่เต็มเปี่ยมในใจของเขาก็ออกมาเป็นคำพูดที่ปากของเขา 46 ทำไมท่านจึงเรียกเราว่า 'องค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้า' แต่ท่านไม่ทำตามถ้อยคำที่เราบอกนั้น? 47 ทุกคนที่มาหาเราและได้ยินถ้อยคำของเราและทำตามนั้น เราจะบอกท่านว่าเขาก็เป็นเหมือนคนเช่นไร 48 เขาก็เป็นเหมือนคนที่สร้างบ้าน ผู้ที่ขุดลึกลงไปในดินและสร้างฐานรากของบ้านบนศิลาที่แข็งแกร่ง เมื่อน้ำท่วมขึ้นมา และกระแสน้ำเชี่ยวไหลซัดบ้านหลังนั้น แต่ไม่สามารถทำให้บ้านหลังนั้นสั่นสะเทือนได้ เพราะมันถูกสร้างไว้อย่างดีแล้ว 49 แต่คนที่ได้ยินถ้อยคำของเราและไม่ทำตามถ้อยคำนั้น เขาก็เปรียบเหมือนคนที่สร้างบ้านไว้บนพื้นดินที่ไม่มีฐานราก เมื่อกระแสน้ำเชี่ยวไหลซัดบ้านหลังนั้น มันก็พังทลายลงในทันที และทำลายบ้านหลังนั้นลงอย่างสิ้นซาก

Chapter 7

1 หลังจากที่พระเยซูตรัสสิ่งเหล่านั้นให้ประชาชนฟังเสร็จแล้ว พระองค์จึงเดินทางเข้าไปยังเมืองคาเปอรนาอุม 2 มีทาสของนายร้อยคนหนึ่งที่เป็นที่รักของนาย กำลังป่วยหนักและกำลังจะตาย 3 แต่เมื่อได้ยินเกี่ยวกับพระเยซู นายร้อยได้ส่งผู้อาวุโสของชาวยิวบางคนไปหาพระเยซู เพื่อเชิญพระองค์ให้เสด็จมาช่วยชีวิตทาสของเขาไม่ให้ตาย 4 เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้พระเยซู พวกเขาก็อ้อนวอนพระองค์อย่างเอาจริงเอาจังว่า "เขาเป็นคนที่ท่านสมควรจะกระทำสิ่งนี้ให้ 5 เพราะเขารักชนชาติของเรา และเขาเป็นผู้ที่สร้างธรรมศาลาให้แก่เรา" 6 ดังนั้น พระเยซูจึงเดินทางต่อไปกับพวกเขา แต่เมื่อพระองค์ใกล้จะมาถึงบ้านของเขาแล้ว นายร้อยส่งพวกสหายมาบอกแก่พระองค์ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า ขออย่าได้ลำบากเลย เพราะข้าพระองค์ไม่สมควรที่จะต้อนรับพระองค์เข้ามาใต้ชายคาบ้านของข้าพระองค์ 7 โดยเหตุผลนี้ ข้าพระองค์จึงเห็นว่าตนเองไม่สมควรที่จะไปหาพระองค์ แต่ขอพระองค์ตรัสเพียงคำเดียวและทาสของข้าพระองค์จะหายโรค 8 เพราะข้าพระองค์เป็นคนที่อยู่ใต้อำนาจทหารและข้าพระองค์ก็มีทหารที่อยู่ใต้อำนาจของข้าพระองค์อีก ข้าพระองค์จะบอกกับคนนี้ว่า 'ไป' เขาก็ไป และบอกกับอีกคนหนึ่งว่า 'มา' เขาก็มา และบอกกับคนรับใช้ว่า 'ทำสิ่งนี้' เขาก็ทำ" 9 เมื่อพระเยซูได้ยินอย่างนั้น พระองค์ก็ทรงประหลาดใจในตัวเขา และหันไปหาฝูงชนที่ตามพระองค์มาแล้วตรัสว่า "เราบอกพวกท่านว่า เรายังไม่เคยเห็นผู้ใดมีความเชื่อมากอย่างนี้ในอิสราเอล" 10 เมื่อคนเหล่านั้นที่ถูกส่งไปกลับมาถึงบ้านแล้ว ก็พบว่าทาสคนนั้นหายเป็นปกติแล้ว 11 หลังจากนั้นไม่นาน พระเยซูเดินทางไปยังเมืองหนึ่งที่ชื่อนาอิน สาวกของพระองค์ไปกับพระองค์ พร้อมกับฝูงชนกลุ่มใหญ่ 12 เมื่อพระองค์เข้ามาใกล้ประตูเมืองแล้ว ดูเถิด มีคนหามศพคนตายออกมา เขาเป็นบุตรชายคนเดียวของมารดาซึ่งเป็นหญิงม่าย และชาวเมืองจำนวนมากก็อยู่กับนาง 13 เมื่อเห็นนางแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าก็รู้สึกสงสารเธอเป็นอันมากและตรัสกับเธอว่า "อย่าร้องไห้" 14 แล้วพระองค์จึงเดินออกมาและแตะต้องขอบไม้โลงศพที่พวกเขาใส่ศพไว้ และคนเหล่านั้นที่หามโลงศพหยุดยืนอยู่ พระองค์ตรัสว่า "ชายหนุ่มเอ๋ย เราบอกเจ้าว่า จงลุกขึ้น" 15 คนที่ตายนั้นจึงลุกขึ้นนั่งและเริ่มพูด แล้วพระเยซูจึงมอบชายหนุ่มให้แก่มารดาของเขา 16 แล้วพวกเขาทุกคนจึงเต็มไปด้วยความกลัว พวกเขาสรรเสริญพระเจ้าไม่หยุดโดยพูดว่า "ผู้เผยพระวจนะยิ่งใหญ่ได้มาบังเกิดท่ามกลางพวกเราแล้ว" และ "พระเจ้าได้เสด็จมาเยี่ยมเยือนคนของพระองค์แล้ว" 17 ข่าวเรื่องพระเยซูนี้ได้เลื่องลือไปทั่วยูเดียและแคว้นโดยรอบทั้งหมด 18 สาวกของยอห์นบอกเขาเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด 19 แล้วยอห์นจึงเรียกสาวกสองคนมาและส่งพวกเขาไปหาองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อถามว่า "ท่านเป็นคนที่จะมานั้นหรือ หรือว่าเราต้องรอคอยอีกคนหนึ่ง 20 เมื่อพวกเขาได้เข้ามาใกล้พระเยซูแล้วจึงพูดว่า "ยอห์นผู้ให้บัพติศมาได้ส่งพวกเรามาหาท่านเพื่อถามว่า 'ท่านเป็นคนที่จะมานั้นหรือ หรือว่าเราต้องรอคอยอีกคนหนึ่ง'" 21 ในเวลานั้น พระองค์รักษาคนมากมายให้หายจากโรคภัยและความทุกข์ยากต่างๆ และพ้นจากวิญญาณชั่ว และพระองค์รักษาคนตาบอดหลายคนให้มองเห็นได้ 22 พระเยซูตอบและพูดกับพวกเขาว่า "หลังจากที่ท่านกลับไปแล้ว จงรายงานต่อยอห์นในสิ่งที่ท่านได้เห็นและได้ยิน คนตาบอดมองเห็นได้ คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายสะอาด คนหูหนวกได้ยิน คนตายเป็นขึ้นมาอีกครั้ง และคนขัดสนได้ยินข่าวดี 23 ผู้ใดที่ไม่ล้มเลิกความเชื่อในเราเนื่องจากสิ่งที่เรากระทำก็เป็นสุข" 24 หลังจากที่ผู้ส่งข่าวของยอห์นไปแล้ว พระเยซูจึงเริ่มตรัสกับฝูงชนเกี่ยวกับยอห์นว่า "ท่านออกไปยังถิ่นทุรกันดารเพื่อดูอะไร ไปดูต้นอ้อไหวโดยลมหรือ? 25 แต่ท่านออกไปดูอะไร ไปดูคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีหรือ? ดูเถิด ผู้ที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้างดงามและใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยย่อมอยู่ในพระราชวัง 26 แต่ท่านออกไปดูอะไร ผู้เผยพระวจนะหรือ? แน่ทีเดียว เราบอกท่านว่าเป็นยิ่งกว่าผู้เผยพระวจนะ 27 ท่านผู้นี้คือคนที่พระคัมภีร์ได้เขียนไว้ว่า 'นี่แน่ะ เราจะส่งผู้ส่งข่าวไปก่อนหน้าท่าน ผู้ซึ่งจะเตรียมทางไว้ข้างหน้าท่าน' 28 เราบอกท่านว่า ในบรรดาคนที่เกิดจากผู้หญิงเหล่านั้น ไม่มีใครใหญ่กว่ายอห์น แต่ผู้เล็กน้อยที่สุดในราชอาณาจักรของพระเจ้ายังใหญ่กว่ายอห์น" 29 เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้น รวมถึงบรรดาคนเก็บภาษี พวกเขาประกาศว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม พวกเขาเป็นหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้นที่ได้รับบัพติศมาจากยอห์น 30 แต่พวกฟาริสีและพวกผู้เชี่ยวชาญด้านบัญญัติที่ไม่ได้รับบัพติศมาจากยอห์น ได้ปฎิเสธพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขา 31 "แล้วเราควรจะเปรียบเทียบคนในยุคนี้กับอะไรดี พวกเขาเป็นอย่างไร 32 พวกเขาเป็นเหมือนเด็กๆที่เล่นกันในตลาดที่นั่งลงและร้องเรียกกันและกันและพูดว่า 'พวกฉันเป่าปี่ให้พวกเธอ แต่พวกเธอไม่เต้น พวกฉันเศร้าโศกแต่พวกเธอไม่ร้องไห้' 33 เพราะยอห์นผู้ให้บัพติศมาได้มาโดยไม่กินขนมปังและไม่ดื่มไวน์ และท่านพูดว่า 'เขามีผีสิง' 34 บุตรมนุษย์มาโดยกินและดื่ม และท่านพูดว่า 'ดูสิ เขาเป็นคนตะกละ และคนขี้เมา เพื่อนของพวกคนเก็บภาษีและคนบาป' 35 แต่สติปัญญาได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้องแล้วโดยคนทั้งหมดที่ทำตามสติปัญญานั้น" 36 มีคนหนึ่งในพวกฟาริสีเชิญพระเยซูไปรับประทานอาหารกับเขา หลังจากที่พระเยซูเสด็จเข้าไปในบ้านของฟาริสีแล้ว พระองค์ทรงเอนพระกายลงที่โต๊ะเพื่อจะรับประทานอาหาร 37 นี่แน่ะ มีหญิงคนหนึ่งในเมืองนั้นซึ่งเป็นคนบาป นางรู้ว่าพระองค์กำลังเอนพระกายรับประทานอาหารในบ้านของฟาริสี นางจึงได้นำผอบน้ำหอมมา 38 นางยืนอยู่ข้างหลังพระองค์ใกล้พระบาทและร้องไห้ นางเริ่มร้องไห้จนน้ำตาไหลเปียกพระบาท แล้วเช็ดด้วยผมจากศีรษะของนาง จูบพระบาทของพระองค์และชโลมพระบาทด้วยน้ำหอม 39 เมื่อฟาริสีคนที่ได้เชิญพระเยซูมาได้เห็นดังนั้น เขาจึงคิดในใจว่า "ถ้าท่านผู้นี้เป็นผู้เผยพระวจนะก็คงจะรู้ว่าผู้หญิงที่แตะต้องตัวท่านเป็นใครและเป็นคนแบบไหน เพราะนางเป็นคนบาป" 40 พระเยซูจึงตอบเขาว่า "ซีโมน เรามีบางอย่างจะบอกท่าน" เขาพูดว่า "ท่านอาจารย์ เชิญพูดเถิด" 41 พระเยซูตรัสว่า "เจ้าหนี้คนหนึ่งมีลูกหนี้สองคน คนหนึ่งเป็นหนี้ห้าร้อยเดนาริอัน และอีกคนหนึ่งเป็นหนี้ห้าสิบเดนาริอัน 42 เนื่องจากพวกเขาไม่มีเงินจะจ่าย เจ้าหนี้จึงยกหนี้ให้ทั้งสองคน เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ในสองคนนั้น คนไหนจะรักเจ้าหนี้มากกว่า" 43 ซีโมนตอบพระองค์ว่า "ข้าพเจ้าคิดว่าน่าจะเป็นคนที่เจ้าหนี้ยกหนี้ให้มากที่สุด" พระเยซูพูดกับเขาว่า "ท่านได้ตัดสินถูกต้องแล้ว" 44 พระเยซูหันไปหาผู้หญิงคนนั้นและพูดกับซีโมนว่า "ท่านเห็นผู้หญิงคนนี้ไหม เราเข้ามาในบ้านของท่าน ท่านไม่ได้เอาน้ำมาล้างเท้าให้เรา แต่ผู้หญิงคนนี้ได้ร้องไห้จนเปียกเท้าของเราแล้วเอาผมของนางเช็ด 45 ท่านไม่ได้จูบเรา แต่หญิงคนนี้ นางจูบเท้าเราไม่หยุดเลยตั้งแต่ที่เราเข้ามา 46 ท่านไม่ได้ชโลมศีรษะของเราด้วยน้ำมัน แต่นางได้ชโลมเท้าของเราด้วยน้ำหอม 47 เพราะฉะนั้น เราบอกท่านว่านางผู้ที่มีบาปมากมาย และได้รับการอภัยมากย่อมรักมากเช่นกัน แต่ผู้ที่ได้รับการอภัยน้อย ย่อมรักเพียงเล็กน้อย 48 แล้วพระองค์จึงพูดกับนางว่า "ความบาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว" 49 คนเหล่านั้นที่เอนกายอยู่ด้วยจึงเริ่มพูดกันว่า "คนนี้เป็นใครที่จะอภัยโทษบาปได้" 50 แล้วพระเยซูจึงตรัสกับหญิงคนนั้นว่า "ความเชื่อของเจ้าทำให้เจ้ารอดแล้ว จงไปเป็นสุขเถิด"

Chapter 8

1 หลังจากนั้น พระเยซูได้เริ่มเดินทางไปยังเมืองและหมู่บ้านต่างๆ โดยรอบ ทรงเทศนาและประกาศข่าวดีเกี่ยวกับราชอาณาจักรของพระเจ้า และสาวกสิบสองคนก็ไปกับพระองค์ 2 รวมทั้งพวกผู้หญิงที่ได้รับการรักษาจากวิญญาณชั่วและโรคภัยต่างๆ คือนางมารีย์ที่เรียกว่ามักดาลา ที่ได้รับการขับวิญญาณชั่วออกจากนางเจ็ดตน 3 นางโยอันนาภรรยาของคูซา ข้าราชการของเฮโรด นางซูซันนนาและหญิงคนอื่นๆ อีกหลายคนที่ได้จัดเตรียมสิ่งของให้พวกเขาด้วยทรัพย์สินของพวกนาง 4 เมื่อฝูงชนเป็นอันมากรวมตัวกัน รวมทั้งผู้คนที่มาจากเมืองต่างๆ พากันมาหาพระองค์ พระองค์จึงตรัสแก่พวกเขาโดยใช้คำอุปมาว่า 5 "มีผู้หว่านพืชคนหนึ่งได้ออกมาหว่านเมล็ดพืชของตน เมื่อเขาหว่าน บ้างก็ตกข้างทางและถูกเท้าเหยียบย่ำและนกในอากาศก็มาจิกกินเสีย 6 บ้างก็ตกบนดินแข็ง ไม่ช้ามันก็งอกเป็นต้น และค่อยๆ เหี่ยวเฉาไปเพราะไม่มีความชื้น 7 บ้างก็ตกอยู่ท่ามกลางต้นหนามและต้นหนามก็เติบโตขึ้นด้วยกันกับเมล็ดนั้นและปกคลุมพวกมันเสีย 8 แต่มีบางเมล็ดที่ตกบนดินดีและเกิดผลมากมายเป็นร้อยเท่า" หลังจากที่พระเยซูตรัสสิ่งเหล่านี้แล้ว พระองค์ก็ร้องตะโกนว่า "ใครมีหูที่ได้ยิน ก็จงฟังเถิด" 9 หลังจากนั้น สาวกของพระองค์ถามพระองค์ถึงความหมายของคำอุปมานี้ 10 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "ท่านได้รับสิทธิพิเศษที่จะเข้าใจถึงความล้ำลึกแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้า แต่ผู้อื่นจะเป็นเพียงแค่คำสอนด้วยคำอุปมาเท่านั้น ดังนั้น "พวกเขาดูแต่จะไม่เห็น พวกเขาได้ยินแต่จะไม่เข้าใจ" 11 นี่คือความหมายของคำอุปมา เมล็ดพืชนั้นคือพระวจนะของพระเจ้า 12 เมล็ดที่ตกข้างทางคือผู้ที่ได้ยินพระวจนะ แต่มารได้มาและเอาพระวจนะออกไปจากใจของพวกเขา ดังนั้น พวกเขาจึงไม่เชื่อและไม่ได้รับความรอด 13 ส่วนเมล็ดที่ตกบนดินแข็งคือผู้ที่ได้ยินพระวจนะและรับด้วยความชื่นชมยินดี แต่พวกเขาไม่มีราก พวกเขาเชื่อเพียงชั่วขณะเท่านั้น หลังจากนั้น เมื่อพวกเขาถูกทดลองพวกเขาก็เลิกล้มไป 14 เมล็ดที่ตกท่ามกลางต้นหนาม คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะ แต่ยังคงดำเนินในทางของตนเอง พวกเขาถูกปกคลุมด้วยความกังวล ความมั่งคั่งและความสนุกสนานของชีวิตนี้ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่เกิดผลอย่างที่จะเติบโต 15 แต่เมล็ดที่ตกบนดินดีนั้นคือผู้ที่มีจิตใจดีและเที่ยงตรง หลังจากที่ได้ยินพระวจนะแล้วก็ยึดไว้อย่างมั่นคงและเกิดผลด้วยความพากเพียร 16 ไม่มีผู้ใดจุดตะเกียงแล้วเอาถังครอบไว้หรือวางไว้ใต้เตียง แต่เขาจะวางมันไว้ที่บนเชิงเทียนเพื่อทุกคนที่เข้ามาจะได้มองเห็นแสงสว่าง 17 เพราะไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนไว้จะไม่ปรากฏให้เห็น หรือสิ่งใดที่เป็นความลับจะไม่ถูกล่วงรู้และถูกเผยออกมาในที่แจ้ง 18 ดังนั้น จงฟังให้ดี ผู้ที่มีจะได้รับเพิ่มมากขึ้น ส่วนผู้ที่ไม่มีจะถูกเอาสิ่งที่เขาคิดว่ามีออกไป 19 หลังจากนั้น มารดาและพวกน้องชายของพระองค์มาหาพระองค์ แต่พวกเขาไม่สามารถเข้าใกล้พระองค์ได้เนื่องจากมีผู้คนเป็นจำนวนมาก 20 มีคนไปบอกกับพระองค์ว่า "มารดาและพวกน้องชายของพระองค์ยืนอยู่ข้างนอก" 21 แต่พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า "มารดาของเราและพวกน้องชายของเราคือผู้ที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้าและเชื่อฟัง" 22 วันหนึ่ง พระเยซูและเหล่าสาวกของพระองค์ได้ลงเรือ พระองค์บอกกับพวกเขาว่า "ให้พวกเราข้ามไปยังอีกฟากหนึ่งของทะเลสาป" จากนั้น พวกเขาก็ออกเรือไป 23 ขณะที่พวกเขาล่องเรืออยู่นั้น พระองค์ก็หลับไป และมีลมพายุใหญ่พัดเหนือทะเลสาปอย่างรุนแรง และน้ำก็เริ่มเข้าในเรือ และพวกเขาก็ตกอยู่ในอันตรายอย่างยิ่ง 24 จากนั้น เหล่าสาวกของพระองค์ได้เข้าไปหาพระองค์และปลุกพระองค์ให้ตื่นขึ้น และกล่าวว่า "ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ เรากำลังจะตายแล้ว" พระองค์ตื่นขึ้น ทรงห้ามลมและทะเลที่กำลังบ้าคลั่ง และพวกมันก็หยุดและสงบลง 25 หลังจากนั้น พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "ความเชื่อของท่านอยู่ที่ไหน?" พวกเขาพากันประหลาดใจและพูดต่อกันด้วยความกลัวว่า "ท่านผู้นี้เป็นใครหนอที่สามารถสั่งได้แม้กระทั่งลมและทะเลและพวกมันก็เชื่อฟังท่าน?" 26 พวกเขามาถึงดินแดนเก-ราซา ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับกาลิลี 27 เมื่อพระเยซูเสด็จขึ้นฝั่ง มีชายคนหนึ่งจากในเมืองมาพบพระองค์ ชายนี้มีผีหลายตัวสิงอยู่ เขาไม่ได้สวมเสื้อผ้ามาเป็นเวลานานแล้ว เขาไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านเรือน แต่อาศัยอยู่ตามอุโมงค์ฝังศพ 28 เมื่อเขาเห็นพระเยซู เขาก็ได้โห่ร้องและล้มลงต่อหน้าพระองค์ เขากล่าวด้วยเสียงอันดังว่า "ข้าทำอะไรให้ท่านหรือ เยซูบุตรของพระเจ้าผู้สูงสุด? ข้าขอร้องท่านอย่าทรมานข้าเลย" 29 เนื่องจากพระเยซูได้สั่งให้ผีโสโครกออกจากชายนั้น เพราะมันได้ครอบงำเขามาหลายครั้งแล้ว แม้ว่าจะเอาโซ่และตรวนพันธนาการเขาไว้และให้อยู่ภายใต้การควบคุมดูแล เขาก็ทำลายพันธนาการเหล่านั้นออกไปเสียและผีร้ายก็บังคับเขาให้เข้าไปยังถิ่นทุรกันดาร 30 จากนั้น พระเยซูถามมันว่า "เจ้าชื่ออะไร?"มันตอบว่า "ชื่อกอง"เพราะมีผีหลายตนเข้าอยู่ในตัวเขา 31 พวกมันคอยวิงวอนพระองค์ที่จะไม่สั่งพวกมันไปสู่ขุมนรก 32 ขณะนั้นมีฝูงสุกรกำลังหากินอยู่บนเนินเขา และพวกผีเหล่านั้นได้ขอร้องพระองค์อนุญาตพวกมันให้เข้าไปสิงในสุกรเหล่านั้น พระองค์อนุญาตพวกมันให้ทำเช่นนั้น 33 ดังนั้น พวกมันจึงได้ออกจากชายนั้นและเข้าสิงอยู่ในฝูงสุกร และฝูงสุกรได้พากันวิ่งกระโจนลงจากหน้าผาสู่ท้องทะเลและจมน้ำตาย 34 เมื่อคนที่ดูแลฝูงสุกรได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาก็วิ่งหนีและรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นแก่คนที่อยู่ในเมืองและตามชนบท 35 ผู้ที่ได้ยินเรื่องราวก็พากันออกไปดูสิ่งที่เกิดขึ้น และพวกเขามาหาพระเยซูและพบชายที่ถูกขับผีออก เขาสวมเสื้อผ้า และมีสติ นั่งอยู่ที่พระบาทของพระเยซู และพวกเขาก็เกิดความกลัว 36 จากนั้น ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ต่างพากันพูดถึงการที่ชายที่ถูกผีควบคุมได้รับการช่วยเหลือให้รอด 37 ผู้คนที่อยู่ในดินแดนเก-ราซาและผู้คนที่อยู่บริเวณโดยรอบพากันขอร้องพระองค์ให้ออกไปจากพวกเขาเพราะพวกเขาเกิดความกลัวเป็นอย่างยิ่ง พระองค์จึงเสด็จลงเรือกลับ 38 ชายที่ได้รับการขับผีขอร้องพระเยซูอนุญาตให้เขาติดตามพระองค์ไปด้วย แต่พระเยซูทรงบอกให้เขาไป และตรัสว่า 39 "จงกลับไปยังครอบครัวของท่านและเล่าสิ่งดีทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงกระทำแก่ท่าน" ชายนั้นจึงไปตามทางของตน และประกาศสิ่งอันยิ่งใหญ่ที่พระเยซูได้ทรงกระทำแก่ตนตลอดทั่วทั้งเมือง 40 เมื่อพระเยซูเสด็จกลับมา ประชาชนก็พากันมาต้อนรับพระองค์ เนื่องจากพวกเขารอคอยพระองค์อยู่ 41 นี่แน่ะ มีชายคนหนึ่งชื่อไยรัส เป็นนายธรรมศาลา เขาก้มลงที่พระบาทพระเยซู ร้องอ้อนวอนทูลพระองค์ให้ไปยังบ้านของเขา 42 เนื่องจากลูกสาวคนเดียววัยสิบสองปีของเขากำลังจะตาย แต่ฝูงชนพากันเบียดเสียดพระองค์ขณะที่พระองค์กำลังเสด็จไป 43 หญิงคนหนึ่งมีโลหิตตกมาสิบสองปีแล้วและใช้เงินทองทั้งหมดของนางไปกับการรักษา แต่ไม่มีผู้ใดรักษานางได้ 44 นางมาข้างหลังพระเยซูและสัมผัสชายฉลองของพระองค์ ทันใดนั้นโลหิตของนางก็หยุดไหล 45 พระเยซูตรัสว่า "ใครสัมผัสเรา?" เมื่อทุกคนปฏิเสธ เปโตรก็กล่าวว่า "ท่านอาจารย์ ฝูงชนกำลังยัดเยียดเบียดเสียดพระองค์อยู่" 46 แต่พระเยซูตรัสว่า "มีบางคนสัมผัสเรา เนื่องจากเรารู้ว่าฤทธิ์อำนาจได้แผ่ซ่านออกจากเรา" 47 เมื่อหญิงนั้นเห็นว่าไม่สามารถซ่อนตัวจากการกระทำของตนได้ นางจึงออกมาด้วยความสั่นกลัว และหมอบกราบต่อหน้าพระเยซู นางได้เปิดเผยต่อหน้าประชาชนทั้งปวงถึงสาเหตุที่นางสัมผัสพระองค์และการที่นางได้รับการรักษาในทันที 48 พระองค์จึงตรัสกับนางว่า "ลูกเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าทำให้เจ้าหาย จงไปเป็นสุขเถิด" 49 ขณะที่พระองค์กำลังตรัสอยู่นั้น มีบางคนมาจากบ้านของนายธรรมศาลามาบอกว่า "บุตรสาวของท่านได้ตายแล้ว อย่ารบกวนอาจารย์เลย" 50 แต่เมื่อพระเยซูได้ยินเช่นนั้น จึงตอบเขาว่า "อย่ากลัวเลย จงเชื่อ แล้วเธอจะรอด" 51 เมื่อพระองค์เสด็จไปยังบ้านของนายธรรมศาลา พระองค์ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าไปในบ้านกับพระองค์ยกเว้นเปโตร ยอห์นและยากอบ รวมทั้งบิดาและมารดาของเด็ก 52 ผู้คนที่อยู่ที่นั่นกำลังโศกเศร้าและร้องไห้คร่ำครวญให้กับเธอ แต่พระองค์ตรัสว่า "อย่าร้องไห้คร่ำครวญไปเลย เธอไม่ได้ตาย เพียงแค่หลับไปเท่านั้น" 53 แต่พวกเขาพากันหัวเราะเยาะพระองค์เพราะรู้ว่าเด็กนั้นได้ตายไปแล้ว 54 แต่พระองค์จับมือเด็กนั้น แล้วตรัสออกมาว่า "ลูกเอ๋ย จงลุกขึ้น" 55 วิญญาณของเธอก็กลับมา และเธอก็ลุกขึ้นทันที พระองค์สั่งให้นำอาหารมาให้เธอรับประทาน 56 บิดามารดาของเธอพากันประหลาดใจ แต่พระองค์สั่งพวกเขาไม่บอกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้แก่ผู้ใด

Chapter 9

1 พระองค์เรียกสาวกทั้งสิบสองคนมาพร้อมกัน แล้วประทานฤทธิ์เดชและสิทธิอำนาจเหนือวิญญาณชั่วทั้งปวงและการรักษาโรคทั้งสิ้นให้พวกเขา 2 แล้วพระองค์จึงได้ทรงส่งพวกเขาออกไปประกาศเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าและรักษาคนป่วยให้หาย 3 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "เมื่อจะเดินทางนั้น อย่าเอาอะไรไป ไม่ว่าจะเป็นไม้เท้า หรือย่ามใส่ของ หรืออาหาร หรือเงิน หรือเสื้อคลุมอีกตัว" 4 และเมื่อพวกท่านเข้าไปในบ้านไหนก็ตาม พวกท่านจงอาศัยในบ้านหลังนั้นจนกว่าจะจากที่นั่นไป 5 ส่วนผู้ใดที่ไม่ต้อนรับท่าน เมื่อท่านจะจากเมืองนั้นไป จงสะบัดผงคลีดินที่ติดอยู่ที่เท้าของท่านออกเพื่อเป็นพยานต่อพวกเขาว่าท่านได้ต่อต้านพวกเขา" 6 หลังจากนั้น พวกเขาจึงได้เข้าไปในหมู่บ้านต่างๆ เพื่อประกาศข่าวดีและรักษาโรคให้กับประชาชนในทุกที่ที่พวกเขาไป 7 ในเวลานั้น เฮโรดผู้ซึ่งเป็นเจ้าเมืองได้ยินถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว เขาจึงมีความกระวนกระวายใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีบางคนกล่าวว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมาได้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว 8 และบางคนกล่าวว่าเอลียาห์ได้มาปรากฎ แต่คนอื่นๆ ได้กล่าวว่าบรรดาผู้เผยพระวจนะในอดีตได้เป็นขึ้นและมีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง 9 เฮโรดจึงกล่าวว่า "เราได้ตัดศีรษะของยอห์นแล้ว แต่คนที่เราได้ยินเรื่องราวของเขาเช่นนี้คือผู้ใดเล่า?"เฮโรดจึงหาโอกาสที่จะไปพบกับพระเยซู 10 เมื่อบรรดาผู้ที่ถูกส่งออกไปนั้นได้กลับมารายงานทุกอย่างในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำ แล้วพระองค์ทรงพาพวกเขาไปยังเมืองหนึ่งซึ่งมีชื่อว่าเบธไซดา 11 แต่ฝูงชนได้ทราบเรื่องนี้จึงได้พากันตามพระองค์ไปและพระองค์ทรงกล่าวต้อนรับพวกเขาและตรัสกับพวกเขาเกี่ยวกับราชอาณาจักรของพระเจ้าและพระองค์ทรงรักษาโรคให้กับบรรดาคนเหล่านั้นที่ต้องการหายป่วย 12 ในเวลาใกล้ค่ำ สาวกทั้งสิบสองคนได้มาหาพระองค์และทูลว่า "ขอให้ฝูงชนเหล่านี้ไปตามหมู่บ้านและตามเมืองรอบๆนี้เถิด เพื่อให้พวกเขาหาที่พักและอาหาร เพราะว่าที่ที่เราอยู่นี้เป็นที่กันดาร" 13 แต่พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "ขอพวกท่านจงเอาอาหารให้คนเหล่านั้นเถิด" พวกเขาทูลว่า "พวกเราไม่มีอะไรมาก มีเพียงขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว นอกจากว่าเราจะออกไปซื้ออาหารสำหรับฝูงชนทั้งปวงนี้" 14 ( ที่นั่นมีผู้ชายประมาณห้าพันคน) พระองค์จึงตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า "ให้พวกเขานั่งลงเป็นกลุ่มๆละประมาณห้าสิบคน" 15 ดังนั้น พวกเขาจึงได้กระทำตามและประชาชนทั้งปวงก็นั่งลง 16 ส่วนพระองค์ทรงนำขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวมาแล้วมองไปยังฟ้าสวรรค์และขอพระพรสำหรับอาหารนั้นแล้วทรงหักขนมปังและปลานั้นให้สาวกนำไปแจกแก่ฝูงชน 17 พวกเขาได้กินอิ่มกันทุกคนและเก็บอาหารที่เหลือได้ถึงสิบสองตะกร้า 18 อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่พระเยซูอธิษฐานแต่ลำพัง บรรดาสาวกอยู่กับพระองค์และพระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า "คนทั้งหลายพูดกันว่าเราเป็นใคร?" 19 พวกเขาจึงทูลว่า "เป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมา แต่บางคนบอกว่าเป็นเอลียาห์ แต่คนอื่นๆ บอกว่าเป็นหนึ่งในบรรดาผู้เผยพระวจนะในอดีตที่เป็นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง" 20 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "แต่พวกท่านละคิดว่าเราเป็นใคร?"เปโตรทูลพระองค์ว่า "พระคริสต์ของพระเจ้า" 21 แต่พระเยซูตรัสเตือนและกำชับพวกเขาว่าอย่าบอกสิ่งนี้ให้กับใคร 22 ทรงตรัสว่า "บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายประการด้วยกันและจะถูกบรรดาผู้อาวุโสและพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ปฎิเสธพระองค์และพระองค์จะถูกประหาร และในวันที่สามพระองค์จะเป็นขึ้นมาและมีชีวิต" 23 พระองค์ตรัสกับพวกเขาทุกคนว่า "ถ้าใครปรารถนาที่จะตามเรามา ให้ผู้นั้นปฎิเสธตนเอง และแบกกางเขนของตนทุกวันและติดตามเรามา" 24 ผู้ใดปรารถนาที่จะมีชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดยอมสูญเสียชีวิตเพื่อเห็นแก่เรา ผู้นั้นจะรอด 25 จะมีประโยชน์อะไรสำหรับมนุษย์ ถ้าเขาได้รับสิ่งทั้งปวงในโลกนี้ แต่เขาต้องสูญเสียหรือถูกริบเอาชีวิตของเขาไป 26 ใครก็ตามที่มีความอายต่อเราและถ้อยคำของเรา บุตรมนุษย์ก็จะมีความอายต่อคนนั้นเมื่อบุตรมนุษย์เสด็จกลับมาพร้อมด้วยพระสิริของพระองค์และพระสิริของพระบิดาพร้อมด้วยเหล่าทูตสวรรค์บริสุทธิ์ 27 แต่เรากล่าวกับท่านด้วยความจริงว่า "บางคนที่ยืนอยู่ในที่นี้จะไม่ได้ลิ้มรสแห่งความตายจนกว่าเขาจะได้เห็นราชอาณาจักรของพระเจ้า" 28 อีกประมาณแปดวันต่อมา หลังจากที่พระเยซูตรัสถ้อยคำเหล่านี้แล้วพระองค์พาเปโตร ยอห์นและยากอบขึ้นไปบนภูเขาและอธิษฐาน 29 ขณะที่พระองค์กำลังอธิษฐานอยู่นั้น พระพักตร์ของพระองค์เปลี่ยนไปและฉลองพระองค์เปลี่ยนเป็นสีขาวเจิดจ้า 30 นี่แน่ะ มีชายสองคนกำลังสนทนากับพระองค์ คือโมเสสและเอลียาห์ 31 ผู้ซึ่งปรากฎด้วยศักดิ์ศรี พวกเขาพูดถึงการจากไปของพระองค์ ซึ่งจะสำเร็จในกรุงเยรูซาเล็ม 32 ฝ่ายเปโตรและคนที่อยู่กับเขานั้นนอนหลับสนิท แต่เมื่อพวกเขาตื่นขึ้น พวกเขาได้เห็นพระสิริของพระองค์และเห็นชายสองคนยืนอยู่กับพระองค์ 33 ขณะที่สองคนนั้นกำลังจากพระเยซูไป เปโตรทูลพระองค์ว่า "ท่านอาจารย์ เป็นการดีที่เราจะอยู่ที่นี่ และเราจะทำเพิงสามหลัง ให้เราสร้างหลังหนึ่งสำหรับพระองค์ หลังหนึ่งสำหรับโมเสสและอีกหลังหนึ่งสำหรับเอลียาห์" (เปโตรไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เขากล่าวไปนั้น) 34 ขณะที่เขากำลังกล่าวอยู่นั้นหมู่เมฆก็มาปกคลุมพวกเขาไว้ และเขาก็เกิดความกลัวเมื่อเขาอยู่ในหมู่เมฆนั้น 35 และมีพระสุรเสียงหนึ่งตรัสจากหมู่เมฆนั้นว่า "นี่เป็นบุตรของเราซึ่งเราได้เลือก จงเชื่อฟังท่านเถิด" 36 เมื่อสิ้นพระสุรเสียงนั้น พระเยซูทรงอยู่เพียงลำพัง พวกเขาปิดเรื่องนี้เงียบและในช่วงเวลานั้นพวกเขาไม่ได้เล่าสิ่งที่พวกเขาได้เห็นให้ใครฟัง 37 วันถัดมา เมื่อพระเยซูและกับเหล่าสาวกลงมาจากภูเขาก็มีฝูงชนกลุ่มใหญ่มาพบกับพระองค์ 38 นี่แน่ะ มีชายคนหนึ่งจากฝูงชนนั้นร้องออกมาว่า "ท่านอาจารย์ ข้าพระองค์ขอให้ท่านทอดพระเนตรบุตรชายคนเดียวของข้าพระองค์ 39 ดูเถิด เมื่อวิญญาณชั่วเข้ามาสิงเขา เขาก็กรีดร้องทันทีและมันทำให้เขาชักเกร็งและมีน้ำลายฟูมปาก วิญญาณชั่วไม่ยอมออกจากเขาง่ายๆ เมื่อวิญญาชั่วออกจากเขามันก็จะทำให้เขาบาดเจ็บ" 40 ข้าพระองค์ขอให้สาวกของพระองค์ขับมันออก แต่พวกเขาทำไม่ได้ 41 พระเยซูตรัสว่า "พวกท่านที่อยู่ในยุคที่ขาดความเชื่อและมีใจไม่บริสุทธิ์ เราจะต้องทนอยู่กับพวกท่านอีกนานเท่าใด จงนำบุตรชายของท่านมาที่นี่เถิด" 42 เมื่อเด็กนั้นกำลังมา วิญญาณชั่วก็ทำให้เขาล้มลงและดิ้นทุรนทุรายอย่างมาก แต่พระเยซูทรงกล่าวห้ามผีโสโครกและเด็กคนนั้นก็ได้รับการรักษาให้หายแล้วพระองค์ก็ทรงส่งเด็กคนนั้นคืนให้กับบิดาของเขา 43 พวกเขาทุกคนก็ประหลาดใจในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า แต่ขณะที่คนเหล่านั้นกำลังอัศจรรย์ใจกับสิ่งเหล่านั้นที่พระองค์ได้ทรงกระทำ พระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า 44 "จงให้คำเหล่านี้เข้าไปในหูของพวกท่าน :บุตรมนุษย์จะถูกทรยศโดยมอบให้อยู่ในมือมนุษย์" 45 แต่พวกเขาไม่เข้าใจถึงความหมายนี้และมันถูกปิดไว้จากพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เข้าใจในเรื่องนี้ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะถามเรื่องนั้นต่อพระองค์ 46 หลังจากนั้น ก็เกิดการทะเลาะกันท่ามกลางสาวกถึงเรื่องว่าใครจะเป็นใหญ่ที่สุด 47 แต่พระเยซูทรงทราบถึงความคิดในจิตใจของพวกเขา พระองค์จึงทรงนำเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมานั่งใกล้ๆ กับพระองค์ 48 และพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "ถ้าผู้ใดยอมรับเด็กเล็กๆ คนนี้ในนามของเรา เขาก็ยอมรับเราด้วย และถ้าผู้ใดยอมรับเรา เขาก็ยอมรับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามาด้วย เพราะว่าในพวกท่านทั้งหลาย ผู้ใดเป็นผู้เล็กน้อยที่สุด ผู้นั้นแหละเป็นผู้ยิ่งใหญ่ " 49 ฝ่ายยอห์นทูลตอบว่า "ท่านอาจารย์ เราเห็นบางคนขับผีออกโดยนามของพระองค์ แต่ว่าพวกเราห้ามเขาไว้ เพราะว่าเขาไม่ได้ตามพวกเรามา" 50 แต่พระเยซูตรัสกับเขาว่า "อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าผู้ที่ไม่ได้ต่อสู้ท่าน ก็เป็นฝ่ายท่านแล้ว" 51 ในเวลานั้น ซึ่งใกล้วันที่พระองค์จะเสด็จสู่สวรรค์ พระองค์ทรงตั้งพระทัยอย่างแน่วแน่ที่จะมุ่งหน้าไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 52 พระองค์ทรงใช้เหล่าผู้ส่งข่าวล่วงหน้าพระองค์ไปก่อน พวกเขาจึงออกไปและเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของคนสะมาเรีย เพื่อจัดเตรียมไว้สำหรับพระองค์ 53 แต่ว่าผู้คนที่นั่นไม่ยอมรับพระองค์ เพราะว่าพระองค์กำลังมุ่งหน้าที่จะไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 54 ดังนั้นเมื่อสาวกของพระองค์คือยากอบและยอห์นได้เห็นดังนี้แล้วจึงทูลว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ประสงค์ให้เราสั่งไฟสวรรค์ลงมาและเผาไหม้เมืองนี้หรือไม่?" 55 แต่พระองค์ทรงเหลียวหลังและตำหนิพวกเขา 56 ดังนั้นพวกเขาจึงไปที่หมู่บ้านอื่น 57 ขณะที่พระเยซูและเหล่าสาวกของพระองค์กำลังเดินไปตามทางนั้นก็มีบางคนทูลพระองค์ว่า "ข้าพระองค์จะตามพระองค์ไปในทุกที่" 58 แต่พระเยซูตรัสกับเขาว่า "หมาจิ้งจอกยังมีโพรงและนกในอากาศยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่จะวางศีรษะ" 59 แล้วพระองค์ตรัสกับอีกคนหนึ่งว่า "จงตามเรามาเถิด" แต่เขาทูลว่า "องค์พระผู้เป็นพระเจ้า ขอให้ข้าพระองค์ไปฝังศพบิดาของข้าพระองค์ก่อน" 60 แต่พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "ปล่อยให้คนตายฝังคนตายเองเถิด แต่ท่านจงไปและประกาศเกี่ยวกับราชอาณาจักรของพระเจ้าทุกหนทุกแห่ง" 61 แต่มีอีกคนหนึ่งทูลพระองค์ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าจะตามท่านไป แต่ขออนุญาตให้ข้าพระองค์ไปลาคนที่บ้านของข้าพระองค์ก่อน" 62 แต่พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "ผู้ใดเอามือจับคันไถแล้วหันหลังกลับ ผู้นั้นก็ไม่สมควรกับราชอาณาจักรของพระเจ้า"

Chapter 10

1 หลังจากนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตั้งอีกเจ็ดสิบคน และส่งพวกเขาเป็นคู่ๆ ล่วงหน้าไปยังทุกเมืองและทุกสถานที่ที่พระองค์ประสงค์จะเสด็จไป 2 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "ข้าวที่ต้องเก็บเกี่ยวก็มีมากมาย แต่คนงานก็น้อยอยู่ ฉะนั้นจงรีบอธิษฐานต่อพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของการเก็บเกี่ยว เพื่อให้พระองค์ทรงส่งคนงานทั้งหลายมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์ 3 จงออกไปตามทางของท่าน ดูสิ เราส่งท่านออกไปเป็นเหมือนเหล่าลูกแกะในท่ามกลางพวกหมาป่า 4 อย่านำถุงเงิน ย่าม หรือรองเท้าติดตัวไป และอย่าทักทายผู้ใดตามทาง 5 เมื่อท่านทั้งหลายเข้าไปในบ้านหลังใด ให้พูดก่อนว่า 'ขอให้สันติสุขอยู่กับบ้านหลังนี้' 6 ถ้ามีคนแห่งสันติสุขอยู่ที่นั่น สันติสุขของท่านก็จะอยู่กับเขา แต่ถ้าไม่มี สันติสุขนั้นก็จะกลับมาหาท่าน 7 จงคงอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน จงรับประทานและดื่มสิ่งที่พวกเขาจัดให้ เพราะคนงานสมควรได้รับค่าจ้าง อย่าย้ายจากบ้านหลังหนึ่งไปอีกหลังหนึ่ง 8 ไม่ว่าท่านจะเข้าไปยังเมืองใด และพวกเขาต้อนรับท่าน จงรับประทานอาหารที่พวกเขาจัดให้ต่อหน้าท่าน 9 และรักษาคนเจ็บป่วยในที่นั่น บอกแก่พวกเขาว่า 'ราชอาณาจักรของพระเจ้ามาใกล้ท่านแล้ว' 10 แต่เมื่อพวกท่านเข้าไปในเมืองใด และพวกเขาไม่ต้อนรับท่าน ให้ออกไปที่ถนนและกล่าวว่า 11 'แม้แต่ผงคลีจากเมืองของเจ้าที่ติดเท้าของพวกเรามา เราขอปัดออกต่อหน้าเจ้า" แต่จงรู้ไว้ว่า ราชอาณาจักรของพระเจ้ามาใกล้แล้ว' 12 เราบอกท่านว่าในวันพิพากษา โทษของเมืองโสโดมก็จะเบากว่าโทษของเมืองนั้น 13 วิบัติแก่เจ้าเมืองโคราซิน วิบัติแก่เจ้าเมืองเบธไซดา ถ้าการอิทธิฤทธิ์เหล่านั้นที่เกิดในท่ามกลางพวกเจ้า ได้เกิดขึ้นในเมืองไทระและเมืองไซดอนแล้วนั้น พวกเขาคงกลับใจสวมเสื้อผ้ากระสอบและนั่งบนขี้เถ้ามานานแล้ว 14 แต่โทษของเมืองไทระและเมืองไซดอนจะเบากว่าโทษของพวกเจ้าในการพิพากษา 15 พวกเจ้าเมืองคาเปอรนาอุม เจ้าคิดว่าเจ้าจะถูกยกขึ้นสูงถึงฟ้าสวรรค์หรือ? ไม่มีทาง เจ้าจะถูกนำลงไปยังแดนมรณา 16 ผู้ที่ฟังท่านก็ฟังเรา และผู้ที่ปฏิเสธท่านก็ปฏิเสธเรา ผู้ที่ปฏิเสธเราก็ปฏิเสธพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา" 17 พวกเจ็ดสิบคนกลับมาด้วยความชื่นชมยินดี กล่าวว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า แม้แต่เหล่าวิญญาณชั่วก็ยอมต่อเราในพระนามของพระองค์" 18 พระเยซูตรัสว่า "เราได้เห็นซาตานตกลงมาจากฟ้าเหมือนฟ้าแลบ 19 ดูสิ เราให้ท่านทั้งหลายมีอำนาจที่จะบดขยี้งูร้าย แมงป่อง อยู่เหนืออำนาจศัตรู และไม่มีอะไรจะหาทางทำร้ายท่านได้เลย 20 แต่ว่าอย่ามัวชื่นชมยินดีที่เหล่าวิญญาณทั้งหลายยอมต่อท่านทั้งหลาย แต่จงชื่นชมยินดียิ่งกว่านั้นที่ชื่อของท่านทั้งหลายถูกจารึกไว้ในสวรรค์แล้ว" 21 ในขณะเดียวกัน พระองค์ทรงยินดีอย่างมากในพระวิญญาณบริสุทธิ์ และตรัสว่า "ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์ พระบิดา องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เพราะพระองค์ได้ทรงปิดบังสิ่งเหล่านี้ไว้จากคนฉลาดและคนที่มีความเข้าใจ และได้ทรงเปิดเผยสิ่งนั้นให้แก่บรรดาคนที่ไม่ได้รับการสอน ซึ่งเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ใช่แล้ว พระบิดา เพราะนี่เป็นสิ่งที่โปรดปรานต่อสายพระเนตรของพระองค์" 22 "พระบิดาของเราได้มอบทุกสิ่งให้แก่เรา และไม่มีใครรู้ว่าพระบุตรเป็นผู้ใดนอกจากพระบิดา และไม่มีใครรู้ว่าพระบิดาเป็นผู้ใดนอกจากพระบุตร และผู้ที่พระบุตรประสงค์จะเปิดเผยให้ทราบ" 23 พระองค์ทรงหันไปยังเหล่าสาวก และตรัสเป็นส่วนตัวว่า "บรรดาผู้ที่เห็นแบบเดียวกับที่ท่านเห็นก็เป็นสุข 24 เราบอกกับท่านว่า บรรดาผู้เผยพระวจนะและบรรดากษัตริย์ทั้งหลายปรารถนาจะเห็นสิ่งที่พวกท่านเห็น แต่ก็ไม่ได้เห็น และปรารถนาที่จะได้ยินสิ่งที่พวกท่านได้ยิน แต่ก็ไม่ได้ยินสิ่งนั้น" 25 นี่แน่ะ มีอาจารย์สอนธรรมบัญญัติของพวกยิวคนหนึ่งได้ยืนขึ้นถามลองภูมิพระองค์ว่า "ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าควรทำอย่างไรจึงจะได้รับชีวิตนิรันดร์?" 26 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "พระบัญญัติเขียนไว้ว่าอย่างไร? ท่านอ่านแล้วเข้าใจอย่างไร?" 27 เขาจึงตอบว่า "ท่านจงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นพระเจ้าของท่านด้วยสิ้นสุดใจ ด้วยสิ้นสุดจิต ด้วยสิ้นสุดกำลัง ด้วยสิ้นสุดความคิดของท่าน และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง" 28 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ท่านตอบได้ถูกต้อง จงทำตามนี้ แล้วท่านจะมีชีวิต" 29 แต่อาจารย์ท่านนั้น อยากแก้ตัว เลยพูดกับพระเยซูว่า "แล้วใครเป็นเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า?" 30 พระเยซูตอบว่า "มีชายคนหนึ่งเดินทางลงมาจากกรุงเยรูซาเล็มเพื่อไปยังเมืองเยรีโค เขาตกอยู่ท่ามกลางพวกโจรที่เข้าช่วงชิงสิ่งของทั้งหลายของเขา และทุบตีเขา และทิ้งไว้เกือบตาย 31 บังเอิญ มีปุโรหิตคนหนึ่งเดินลงมาทางนั้น เมื่อเขาได้เห็นคนเจ็บนั้น เขาก็ข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่ง 32 เช่นเดียวกับเลวีอีกคนหนึ่ง เมื่อเขาเดินมาถึงที่นั่น และได้เห็นคนเจ็บนั้น ก็ผ่านไปอีกฝั่งหนึ่ง 33 แต่มีชาวสะมาเรียคนหนึ่ง ได้เดินทางผ่านที่ที่คนเจ็บนอนอยู่ เมื่อเขาเห็นคนเจ็บ ก็เกิดความสงสาร 34 เขาจึงเข้าไปหาคนเจ็บและพันบาดแผลของเขา เทน้ำมันและเหล้าองุ่นลงที่บาดแผล แล้วให้คนเจ็บขึ้นหลังสัตว์ของตนเอง และพาคนเจ็บไปที่โรงแรม และดูแลเขา 35 ในวันถัดมา เขาก็เอาเงินสองเดนาริอันให้แก่เข้าของโรงแรม และบอกว่า 'จงดูแลเขา หากท่านต้องจ่ายอะไรเพิ่มเติม ข้าพเจ้าจะจ่ายคืนให้ท่านตอนกลับมา' 36 ท่านคิดว่าคนใดในสามคนนี้เป็นเพื่อนบ้านของคนที่ถูกโจรปล้น?" 37 อาจารย์คนนั้นก็ตอบว่า "ชายคนที่แสดงความเมตตาให้แก่คนเจ็บ" พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า "จงไปทำแบบเดียวกันเถิด" 38 ในขณะเมื่อพวกเขาเดินทาง พระองค์ก็เข้าไปยังหมู่บ้านหนึ่ง และมีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อมารธามาเชิญพระองค์เข้าไปในบ้านของเธอ 39 เธอมีน้องชาวชื่อมารีย์ ซึ่งเป็นผู้ที่นั่งแทบพระบาทของพระเยซูและฟังถ้อยคำของพระองค์ 40 แต่มารธายุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารมากเกินไป เธอจึงได้มาหาพระเยซู และบอกว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ไม่สนใจหรือว่าน้องสาวของข้าพเจ้าปล่อยให้ข้าพเจ้าปรนนิบัติแต่เพียงผู้เดียว? ฉะนั้นขอบอกให้เธอมาช่วยงานข้าพเจ้าด้วย" 41 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตอบเธอว่า "มารธา มารธาเอ๋ย เธอวุ่นวายกับหลายสิ่งหลายอย่าง 42 แต่สิ่งที่จำเป็นนั้นมีแต่สิ่งเดียว มารีย์ได้เลือกเอาสิ่งที่ดีที่สุดไว้ ซึ่งจะเอาไปจากเธอไม่ได้"

Chapter 11

1 ในขณะที่พระเยซูกำลังอธิษฐานอยู่ที่แห่งหนึ่ง สาวกคนหนึ่งของพระองค์ทูลพระองค์ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงสอนเราให้อธิษฐานเหมือนกับที่ยอห์นสอนสาวกของเขาด้วย" 2 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "เมื่อท่านอธิษฐาน จงพูดว่า 'ข้าแต่พระบิดา ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ ขอให้ราชอาณาจักรของพระองค์มาตั้งอยู่ 3 ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวันแก่เราทั้งหลาย 4 ขอทรงโปรดยกความผิดบาปของเรา เหมือนที่เราได้ยกโทษแก่ทุกคนที่เขาได้ทำบาปแก่เรา ขออย่านำเราเข้าสู่การทดลอง" 5 พระเยซูตรัสกับคนเหล่านั้นว่า "ผู้ใดในพวกท่านที่มีเพื่อน และไปหาเขาตอนเที่ยงคืน พูดกับเขาว่า 'เพื่อนเอ๋ย ให้เรายืมขนมปังสักสามก้อนเถิด 6 เพราะเพื่อนของข้าเพิ่งเดินทางมาจากที่แห่งหนึ่ง และข้าก็ไม่ได้เตรียมอะไรไว้ต้อนรับเขาเลย' 7 และคนในบ้านนั้น อาจพูดว่า 'อย่ารบกวนเราเลย ประตูได้ปิดแล้ว และลูกๆ ของเราก็กำลังอยู่บนที่นอนกับเรา เราไม่สามารถลุกขึ้นเพื่อหยิบขนมปังให้ท่านได้' 8 เราบอกกับท่านว่า ถึงแม้เขาไม่ลุกขึ้นหยิบขนมปังให้ท่าน เพราะเหตุที่เป็นเพื่อนกับเขา แต่ถ้าท่านยังยืนกรานอย่างไม่ละอาย เขาก็จะลุกขึ้นและเอาขนมปังให้ท่านมากเท่าที่ท่านต้องการ 9 และเราขอบอกกับท่านว่า จงขอ แล้วจะมอบให้แก่ท่าน จงหา แล้วท่านจะพบ จงเคาะ แล้วจะเปิดให้แก่ท่าน 10 เพราะว่าทุกคนที่ขอก็จะได้รับ ทุกคนที่หาก็จะพบ ทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้แก่เขา 11 มีบิดาคนใดในพวกท่าน เมื่อบุตรของเขาขอปลา จะเอางูให้เขาแทนปลาหรือ 12 หรือเมื่อเขาขอไข่ ท่านจะเอาแมงป่องให้เขา? 13 เหตุฉะนั้น ถ้าท่านผู้เป็นคนชั่ว ยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน แล้วยิ่งกว่านั้นพระบิดาในสวรรค์จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้ท่านมากเท่าใดสำหรับผู้ที่ขอต่อพระองค์?" 14 หลังจากนั้น พระเยซูได้ขับผีร้ายออก เป็นผีใบ้ เมื่อมันถูกขับออกมา ชายที่เป็นใบ้คนนั้นก็เริ่มพูด ฝูงชนก็ตะลึง 15 บางคนในกลุ่มพูดว่า "เขาขับผีร้ายนั้นออกโดยเบเอลเซบูล ซึ่งเป็นนายผีของพวกผีร้าย" 16 คนอื่นในพวกเขาอยากจะทดสอบพระองค์และถามหาหมายสำคัญจากสวรรค์ 17 แต่พระเยซูทรงรู้ถึงความคิดของพวกเขาจึงตรัสว่า "ทุกราชอาณาจักรเมื่อแตกแยกกันแล้ว ก็จะต้องล่มสลาย ครอบครัวที่แตกแยกกันแล้ว ก็จะตั้งอยู่ไม่ได้" 18 ถ้าซาตานแตกแยกต่อสู้กันเอง อาณาจักรของมันจะตั้งอยู่ได้อย่างไร เพราะท่านบอกว่าเราได้ขับผีด้วยเบเอลเซบูล 19 ถ้าเราได้ขับผีนั้นออกด้วยเบเอลเซบูล แล้วพวกสาวกของท่านขับผีนั้นออกโดยผู้ใด เพราะเหตุนี้ พวกสาวกจะตัดสินพิพากษาพวกท่าน 20 แต่ถ้าเราได้ขับผีนั้นออกโดยนิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้า ราชอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงท่านแล้ว 21 เมื่อชายที่แข็งแกร่งมีอาวุธครบมือ คอยปกป้องบ้านของเขา ทรัพย์สินของเขาก็ปลอดภัย 22 แต่เมื่อชายที่แข็งแกร่งกว่าเขาเอาชนะเขาได้ คนที่แข็งแกร่งกว่าก็จะยึดอาวุธไปจากเขา และขโมยเอาสมบัติของเขา 23 ผู้ใดที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายเราก็เป็นศัตรูกับเรา และผู้ที่ไม่ถูกรวบรวมไว้กับเราจะกระจายไป 24 เมื่อผีโสโครกได้ออกจากชายคนหนึ่ง มันก็ได้เดินทางผ่านไปยังที่กันดารน้ำเพื่อหาที่พัก เมื่อหาไม่พบ มันจึงพูดว่า 'ข้าจะกลับไปยังบ้านเดิมที่ข้าจากมานั้น' 25 เมื่อผีนั้นกลับมาและพบว่า บ้านนั้นถูกทำความสะอาดและจัดไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย 26 มันจึงกลับไปและพาผีร้ายยิ่งกว่ามันมาอีกเจ็ดตน และเข้ามาอาศัยอยู่ที่บ้านนั้น และในที่สุด ชายคนนั้นก็ตกอยู่ในสภาพที่เลวร้ายยิ่งกว่าตอนแรก 27 ในขณะที่พระองค์กำลังตรัสอยู่ ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งได้ร้องขึ้นท่ามกลางชุมนุมชนพูดกับพระองค์ว่า "ครรภ์ของหญิงที่ปฏิสนธิพระองค์และเต้านมที่เลี้ยงพระองค์มาก็เป็นสุข" 28 แต่พระองค์ตรัสว่า "ไม่ใช่เลย คนที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้าและรักษาไว้ต่างหากที่เป็นสุข" 29 เมื่อฝูงชนเริ่มมาชุมนุมกันมากขึ้น พระองค์ตรัสว่า "ชนชาติยุคนี้เป็นยุคที่ชั่วร้าย เขาจะแสวงหาหมายสำคัญ แต่จะไม่มีหมายสำคัญอันใดเปิดเผยให้แก่เขา เว้นแต่หมายสำคัญของโยนาห์ 30 เหมือนกับที่โยนาห์ได้เป็นหมายสำคัญแก่คนในเมืองนีนะเวห์ ดังนั้น บุตรมนุษย์จะเป็นหมายสำคัญแก่ชนยุคนี้" 31 ราชินีแห่งทิศใต้จะลุกขึ้นในการพิพากษาพร้อมกับผู้ชายในยุคนี้และลงโทษคนในยุคนี้ เพราะนางได้มาจากที่สุดปลายแผ่นดินโลกเพื่อจะฟังสติปัญญาของซาโลมอน และดูเถิด ผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าซาโลมอนก็อยู่ที่นี่ 32 ผู้คนแห่งเมืองนีนะเวห์จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนในยุคนี้และจะปรับโทษคนในยุคนี้ เมื่อเขากลับใจเพราะการประกาศของโยนาห์ และดูเถิด ผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์ก็อยู่ที่นี่ 33 ไม่มีผู้ใด หลังจุดตะเกียงแล้ว จะเอาตะเกียงนั้นตั้งไว้ในตู้ที่มืดหรือเอาตะกร้าครอบไว้ แต่ตั้งไว้บนเชิงตะเกียง เพื่อผู้ที่เข้ามานั้นจะได้เห็นแสงสว่าง 34 ตาเป็นประทีปของร่างกาย เมื่อตานั้นดี ร่างกายของท่านก็จะสว่างไปด้วย แต่เมื่อตาของท่านมืดไป ร่างกายของท่านก็จะมืดไปด้วย 35 เหตุฉะนั้น จงระวังอย่าให้แสงสว่างในตัวท่านมืดไป 36 ถ้าร่างกายของท่านเต็มด้วยความสว่าง ทั้งตัวก็จะพลอยสว่างไปด้วย ร่างกายของท่านทั้งหมดจะเป็นเหมือนเชิงตะเกียงนั้นที่ส่องสว่างแก่ท่าน 37 เมื่อพระองค์ตรัสเสร็จแล้ว ฟาริสีคนหนึ่งได้เชิญพระองค์ไปรับประทานอาหารที่บ้านของเขา เมื่อพระเยซูไปถึงและเอนกายลง 38 ฟาริสีคนนั้นก็ประหลาดใจที่พระองค์ไม่ได้ล้างมือก่อนจะรับประทานมื้อเย็น 39 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตอบเขาว่า "บัดนี้ เจ้าพวกฟาริสี เจ้าทำความสะอาดภายนอกของถ้วยและชามของเจ้า แต่ข้างในตัวเจ้ากลับเต็มไปด้วยความโลภและความชั่วร้าย 40 เจ้าช่างโง่เขลาเสียจริง ผู้ที่สร้างภายนอกก็สร้างภายในด้วยมิใช่หรือ? 41 จงให้ทานแก่คนยากจนด้วยสิ่งซึ่งมาจากภายใน แล้วทุกสิ่งก็จะสะอาดสำหรับท่าน" 42 แต่วิบัติแก่เจ้า พวกฟาริสี เจ้าได้ถวายทศางค์ด้วยใบสะระแหน่ ขมิ้น และพืชผักอื่นๆ จากสวน แต่เจ้าได้เพิกเฉยต่อความยุติธรรมและความรักของพระเจ้า จำเป็นอย่างยิ่งที่จะประพฤติอย่างคนที่มีความยุติธรรมและรักพระเจ้า โดยไม่บกพร่องในการทำสิ่งอื่นๆด้วย 43 แต่วิบัติแก่เจ้า พวกฟาริสี พวกเจ้าชอบที่นั่งแถวหน้าในธรรมศาลาและการคำนับให้เกียรติในตลาด 44 วิบัติแก่เจ้า เหมือนหลุมศพที่คนทั้งหลายเดินผ่านไปมาโดยไม่รู้ เพราะไม่ได้ติดป้ายบอกไว้ 45 แล้วคนหนึ่งในผู้สอนธรรมบัญญัติของคนยิว ตอบพระองค์ว่า "อาจารย์ ท่านกำลังสบประมาทพวกเราหรือ" 46 พระเยซูตอบว่า "แต่วิบัติแก่พวกเจ้า พวกผู้สอนธรรมบัญญัติ พวกท่านให้ผู้อื่นแบกภาระที่หนักหนาสาหัส แต่ตัวท่านเองแม้แต่นิ้วเดียวก็ไม่เคยแตะภาระนั้น" 47 วิบัติแก่เจ้า ที่ชอบสร้างอนุสาวรีย์บนหลุมฝังศพของผู้เผยพระวจนะ ที่บรรพบุรุษของท่านได้ฆ่าพวกเขา 48 เจ้าได้เป็นพยานและเห็นด้วยกับบรรพบุรุษของท่าน เพราะพวกเขาได้ฆ่าบรรดาผู้เผยพระวจนะ ที่ท่านได้สร้างอนุสาวรีย์แก่เขา 49 ด้วยเหตุนี้ พระปัญญาของพระเจ้าจึงตรัสว่า 'เราจะส่งผู้เผยพระวจนะและอัครทูตไปท่ามกลางเขา และบางคนในพวกเขาจะถูกข่มเหงและถูกฆ่า' 50 คนในยุคนี้จะต้องรับผิดชอบในเลือดผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นที่หลั่งออกมาตั้งแต่โลกเริ่มต้นขึ้น 51 ตั้งแต่เลือดของอาแบลจนถึงเลือดของเศคาริยาห์ ผู้ที่ถูกฆ่าที่แท่นบูชาและที่ลี้ลับ ใช่แล้ว เราบอกกับในท่านเรื่องนี้ เพราะคนในยุคนี้จะรับผิดชอบ 52 วิบัติแก่เจ้า พวกผู้สอนธรรมบัญญัติของคนยิว เพราะท่านได้ฉวยเอากุญแจแห่งความรู้นั้นไปเสีย ท่านก็ไม่เข้าไปเอง และคนที่อยากเข้าไปท่านก็ปิดเสียจากเขา 53 หลังจากพระเยซูเสด็จออกจากที่นั่น พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีได้ต่อต้านและโต้เถียงกับพระองค์อีกหลายเรื่อง 54 หวังจะให้พระองค์ติดกับดักจากคำพูดของพระองค์

Chapter 12

1 ในเวลานั้น มีคนหลายพันคนมารวมตัวกัน มากจนพวกเขาเบียดเสียดเหยียบย่ำกัน พระองค์เริ่มตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ก่อนว่า "จงระวังเชื้อของพวกฟาริสีซึ่งก็คือความหน้าซื่อใจคด 2 ไม่มีความลับใดที่จะไม่ถูกเปิดเผยและไม่มีสิ่งใดที่ซุกซ่อนไว้จะไม่ถูกล่วงรู้ 3 ไม่ว่าอะไรที่ท่านพูดในที่มืดก็จะถูกได้ยินในที่แจ้ง และสิ่งที่ท่านกระซิบที่หูในห้องชั้นในก็จะถูกป่าวประกาศที่หลังคาบ้าน 4 เราบอกแก่ท่านที่เป็นเพื่อนของเราว่า อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่ร่างกาย และไม่สามารถที่จะทำอะไรได้อีกต่อไป 5 แต่เราอยากจะเตือนท่านเกี่ยวกับผู้ที่สมควรกลัว จงกลัวผู้ที่ถูกฆ่าซึ่งภายหลังมีสิทธิอำนาจที่จะโยนท่านลงสู่นรก นั่นแหละ เราบอกท่านว่า จงกลัวผู้นั้น 6 นกกระจาบสองตัวเขาขายสองเหรียญไม่ใช่หรือ? ไม่มีสักตัวที่ถูกลืมในสายพระเนตรของพระเจ้า 7 แม้แต่เส้นผมที่บนศีรษะของท่านก็ถูกนับไว้หมดแล้ว อย่ากลัวเลย ท่านมีค่ามากกว่าพวกนกกระจาบมากมายนัก 8 เราบอกแก่ท่านว่า ทุกคนที่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ บุตรมนุษย์ก็จะยอมรับต่อหน้าทูตสวรรค์ของพระเจ้า 9 แต่ผู้ที่ปฏิเสธเราต่อหน้ามนุษย์ก็จะถูกปฏิเสธต่อหน้าทูตสวรรค์ของพระเจ้าด้วยเช่นกัน 10 ทุกคนที่กล่าวต่อต้านบุตรมนุษย์ก็จะได้รับการอภัย แต่ผู้ที่ดูหมิ่นประมาทต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่อาจจะให้อภัยได้ 11 เมื่อพวกเขานำท่านมาอยู่ต่อหน้าธรรมศาลา ผู้ปกครองและผู้มีอำนาจ อย่ากังวลว่าท่านจะพูดแก้ต่างอย่างไร หรือท่านจะพูดอะไร 12 เพราะในโมงนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนท่านในสิ่งที่ควรจะพูด 13 จากนั้น มีบางคนในฝูงชนพูดกับพระองค์ว่า "ท่านอาจารย์ ช่วยบอกพี่ชายของข้าพเจ้าให้แบ่งมรดกให้ข้าพเจ้าด้วย" 14 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "บุรุษเอ๋ย ใครตั้งเราให้เป็นผู้พิพากษาหรือผู้ไกล่เกลี่ยแก่ท่านเล่า?" 15 และพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "จงระวังรักษาตนจากความปรารถนาในความโลภทุกอย่าง เพราะชีวิตคนไม่ได้ประกอบด้วยทรัพย์สมบัติอันอุดมของเขา" 16 จากนั้น พระเยซูทรงตรัสกับพวกเขาด้วยคำอุปมาว่า "มีชายมั่งคั่งคนหนึ่งได้ผลผลิตเป็นจำนวนมาก 17 และเขาก็คิดกับตนเองว่า "ข้าจะทำอย่างไรดี เพราะว่าข้าไม่มีที่ให้เก็บผลผลิตของข้าแล้ว? 18 เขาพูดว่า "สิ่งที่ข้าจะทำก็คือ ข้าจะรื้อยุ้งฉางออกและสร้างหลังใหม่ให้ใหญ่กว่าเดิม และข้าจะรวบเก็บรวมข้าวและสิ่งของอื่นๆ ทุกอย่างไว้ในนั้น 19 ข้าจะพูดกับจิตใจของข้าว่า "จิตใจเอ๋ย เจ้ามีสิ่งของมากมายที่ถูกรวบรวมไว้ใช้ได้อีกหลายปี จงพักให้สบาย กิน ดื่มและรื่นเริงสนุกสนานเถิด" 20 แต่พระเจ้าตรัสแก่เขาว่า 'คนโง่เอ๋ย คืนนี้จิตใจของเจ้าจะถูกเรียกไปจากเจ้า และสิ่งต่างๆ ที่เจ้าตระเตรียมไว้นั้นจะเป็นของใคร?' 21 นั่นก็เหมือนกับผู้ที่สะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตนเอง แต่ไม่ได้มั่งมีต่อพระเจ้า 22 พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า " ดังนั้น เราบอกท่านว่า อย่ากังวลถึงชีวิต ว่าจะกินอะไร หรือห่วงร่างกายว่าจะเอาอะไรใส่ 23 เพราะชีวิตมีค่ามากกว่าอาหาร และร่างกายก็มีค่ามากกว่าเครื่องนุ่งห่ม 24 จงพิจารณาดูฝูงกา มันไม่ได้หว่านหรือเกี่ยว มันไม่มียุ้งหรือฉางแต่พระเจ้าทรงเลี้ยงดูพวกมัน ท่านมีค่ามากกว่าพวกนกเหล่านั้น 25 และความกังวลไหนที่จะช่วยต่ออายุของท่านให้ยาวไปอีกศอกหนึ่ง? 26 ถ้าสิ่งเล็กที่สุดท่านยังทำไม่ได้แล้ว เหตุใดท่านจึงกังวลถึงสิ่งอื่นๆ อีกเล่า? 27 จงพิจารณาดูดอกลิลลี่ว่ามันเติบโตขึ้นอย่างไร มันไม่ได้ทำงาน มันไม่ได้ปั่นฝ้าย เราบอกท่านว่าแม้แต่ซาโลมอนที่เต็มด้วยความรุ่งเรืองก็ยังไม่ถูกตกแต่งเหมือนดอกไม้เหล่านี้ 28 ถ้าพระเจ้าตกแต่งต้นหญ้าที่อยู่ในท้องทุ่งที่วันนี้ยังมีอยู่ แต่พรุ่งนี้ถูกโยนเข้าสู่เตาไฟได้ พระเจ้าจะทรงตกแต่งท่านมากกว่าสักเพียงใด โอ ท่านผู้มีความเชื่อน้อยเอ๋ย 29 อย่าแสวงหาว่าท่านจะเอาอะไรกิน และจะเอาอะไรดื่ม และไม่ต้องวิตกกังวล 30 เพราะบรรดาประชาชาติทั้งหลายในโลกพากันแสวงหาสิ่งเหล่านี้ และพระบิดาของท่านก็ทรงทราบว่าท่านต้องการสิ่งต่างๆ เหล่านี้ 31 แต่จงแสวงหาราชอาณาจักรของพระเจ้า และสิ่งเหล่านี้จะถูกเพิ่มเติมให้แก่ท่าน 32 อย่ากลัวเลย ฝูงลูกแกะเล็กน้อยเอ๋ย เพราะพระบิดาของท่านทรงพอพระทัยที่จะประทานราชอาณาจักรให้แก่ท่าน 33 จงขายทรัพย์สมบัติของท่านและแจกจ่ายให้กับคนยากจน จงทำกระเป๋าเงินที่ไม่รู้จักเก่าคือทรัพย์สมบัติในสวรรค์ที่ไม่รู้จักหมด ที่ขโมยไม่สามารถเข้าใกล้และไม่มีแมลงมาทำลาย 34 เพราะว่าทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย 35 จงเอาคาดเอวเสื้อคลุมของท่านไว้ และจุดตะเกียงของท่านให้สว่างอยู่เสมอ 36 และจงเป็นเหมือนกับผู้ที่คอยเจ้านายกลับมาจากงานเลี้ยงฉลองการแต่งงาน ดังนั้น เมื่อเจ้านายกลับมาและเคาะที่ประตู พวกเขาจะได้เปิดประตูให้กับเจ้านายได้ในทันที 37 พระพรจงมีแก่ผู้รับใช้เหล่านี้ ซึ่งเจ้านายกลับมาและพบว่าพวกเขากำลังคอยเฝ้าดูอยู่ เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เจ้านายจะคาดเอวของเขาไว้และให้พวกเขานั่งลงรับประทานอาหาร และจะมาปรนนิบัติพวกเขา 38 ถ้าเจ้านายเข้ามาในตอนยามสองหรือยามสาม และเห็นว่าพวกเขาเตรียมพร้อมอยู่ พระพรจึงมีแก่ผู้รับใช้เหล่านั้น 39 ยิ่งกว่านั้น จงรู้เถิดว่า ถ้าเจ้าของบ้านรู้ว่าขโมยจะเข้ามาในเวลาไหน เขาก็จะไม่ปล่อยให้บ้านของเขาถูกทะลวงเข้ามาได้ 40 จงเตรียมพร้อมเพราะท่านไม่รู้ว่าเวลาใดที่บุตรมนุษย์จะเสด็จมา 41 เปโตรกล่าวว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์กำลังตรัสคำอุปมานี้แก่พวกเราหรือแก่ทุกคน?" 42 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า "ใครคือคนต้นเรือนที่สัตย์ซื่อและมีสติปัญญาที่เจ้านายตั้งไว้เหนือคนรับใช้อื่นๆ ในการแจกจ่ายส่วนแบ่งอาหารตามโอกาส? 43 พระพรมีแก่คนรับใช้นั้น ผู้ที่เจ้านายของเขาพบว่ากำลังทำอะไรเมื่อเจ้านายเข้ามา 44 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เจ้านายจะตั้งเขาให้ดูแลทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีอยู่ 45 แต่ถ้าคนรับใช้พูดอยู่ในใจว่า 'เจ้านายของข้ากลับมาช้า' และเริ่มต้นโบยตีคนรับใช้ชายหญิง กินและดื่มจนเมามาย 46 เจ้านายของคนรับใช้นั้นกลับมาในวันที่เขาไม่คาดคิด และในโมงยามที่เขาไม่รู้ และจะลงโทษเขาอย่างรุนแรง และให้เขาไปอยู่ในสถานที่หนึ่งกับพวกที่ไม่สัตย์ซื่อ 47 คนรับใช้นั้น ที่รู้ถึงความตั้งใจของเจ้านายของตนและไม่ได้เตรียมการใดๆ หรือทำให้ความตั้งใจของเจ้านายสำเร็จจะถูกตีอย่างหนัก 48 แต่ผู้ที่ไม่รู้และทำในสิ่งที่สมควรแก่การถูกตี ก็จะถูกตีบ้าง ผู้ที่รับมากก็จะถูกเรียกเอาจากเขามาก ส่วนผู้ที่รับความผิดชอบมากก็จะถูกเรียกเอาจากเขามากด้วย 49 เรามาเพื่อโยนไฟลงบนแผ่นดินโลก และไฟที่เราปรารถนาก็ได้ถูกจุดขึ้นแล้ว 50 แต่เรามีหนึ่งบัพติศมาที่เราต้องรับและต้องเจ็บปวดจนกว่าจะสำเร็จ 51 ท่านคิดว่าเรานำสันติสุขมาให้แก่โลกหรือ? เปล่าเลย เรานำความแตกแยกมาให้ต่างหาก 52 ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ครอบครัวหนึ่งที่มีห้าคนจะแตกแยก สามคนจะต่อสู้สองคน และสองคนจะต่อสู้กับคนสามคน 53 พวกเขาจะถูกแบ่งแยก พ่อจะต่อสู้กับลูกชาย และลูกชายจะต่อสู้กับพ่อ แม่จะต่อสู้กับลูกสาวและลูกสาวจะต่อสู้กับแม่ แม่สามีจะต่อสู้กับลูกสะใภ้และลูกสะใภ้จะต่อสู้กับแม่สามี 54 พระเยซูตรัสกับฝูงชนอีกด้วยว่า "เมื่อท่านเห็นเมฆกำลังขึ้นทางตะวันตก ท่านก็บอกได้ทันทีว่า ฝนกำลังมาและมันก็เกิดขึ้นตามนั้น 55 และเมื่อลมใต้กำลังพัด ท่านก็บอกว่า นั่นคือความร้อนที่กำลังแผดเผา และมันก็เกิดขึ้น 56 เจ้าคนหน้าซื่อใจคด ท่านรู้วิธีตีความสภาพที่เกิดขึ้นของแผ่นดินโลกและฟ้าอากาศ แต่ท่านไม่รู้วิธีตีความเวลาในปัจจุบันได้อย่างไร? 57 เหตุใดท่านจึงไม่ตัดสินว่าอะไรถูกต้องด้วยตัวท่านเอง? 58 เมื่อท่านกับปฏิปักษ์พากันไปหาผู้พิพากษา ระหว่างทางพยายามหาทางสะสางเรื่องราวกับเขาเพื่อที่ว่าเขาจะไม่เอาท่านเข้าสู่การพิพากษา และเพื่อที่ว่าผู้พิพากษาจะไม่ส่งท่านให้กับเจ้าหน้าที่ และเจ้าหน้าที่จะไม่โยนท่านเข้าคุก 59 เราบอกแก่ท่านว่า ท่านจะไม่ได้ออกจากที่นั่นจนกว่าท่านจะใช้หนี้จนครบทุกบาททุกสตางค์

Chapter 13

1 ในเวลานั้น บางคนที่อยู่ที่นั่นบอกพระองค์เกี่ยวกับชาวกาลิลีที่ถูกปีลาตเอาเลือดของพวกเขาผสมลงในเครื่องบูชาของพวกเขาเอง 2 พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า "ท่านคิดว่าชาวกาลิลีเหล่านี้เป็นคนบาปมากกว่าชาวกาลิลีคนอื่นๆ ทุกคน เพราะว่าพวกเขาทนทุกข์ทรมานเช่นนี้หรือ? 3 เราบอกท่านว่า ไม่ใช่ แต่ถ้าพวกท่านไม่กลับใจใหม่ พวกท่านทุกคนก็จะพินาศเช่นเดียวกัน 4 หรือคนทั้งสิบแปดคนที่ตาย เพราะถูกตึกถล่มลงมาทับพวกเขาที่สิโลอัม ท่านคิดว่าคนเหล่านั้นเป็นคนบาปที่เลวร้ายกว่าคนอื่นๆ ในกรุงเยรูซาเล็มหรือ? 5 เราบอกว่า ไม่ใช่ แต่ถ้าพวกท่านไม่กลับใจใหม่ พวกท่านทุกคนก็จะพินาศเช่นเดียวกัน 6 พระเยซูทรงกล่าวเป็นคำอุปมาว่า "มีคนหนึ่งได้ปลูกต้นมะเดื่อไว้ในสวนองุ่นของเขา แล้วเขาได้มามองหาผลของต้นนั้น แต่ไม่พบเลย 7 ชายคนนั้นจึงบอกกับคนทำสวนว่า "ดูสิ เราได้มาและพยายามมองหาผลของต้นมะเดื่อต้นนี้เป็นเวลาสามปีแล้ว แต่ไม่พบเลย จงโค่นมันลง จะปล่อยให้มันทำให้พื้นดินเสียเปล่าทำไมเล่า?" 8 คนทำสวนจึงตอบว่า "ขอให้ปล่อยมันไว้อีกปีหนึ่ง และข้าก็จะขุดรอบๆ ต้นและใส่ปุ๋ยให้มัน 9 ถ้ามันออกผลในปีหน้าก็ดี แต่ถ้ามันไม่ออกผลจึงโค่นมันลง" 10 พระเยซูทรงสอนในธรรมศาลาแห่งหนึ่งในวันสะบาโต 11 นี่แน่ะ มีหญิงคนหนึ่งอยู่ที่นั่น นางถูกวิญญาณแห่งความอ่อนแอทำให้เจ็บป่วยเป็นเวลาสิบแปดปีแล้ว มันทำให้นางหลังโกง และไม่สามารถที่จะยืนขึ้นได้อย่างเต็มที่ 12 เมื่อพระเยซูทรงเห็นนาง พระองค์ก็ทรงเรียกนางมา และตรัสว่า "หญิงเอ๋ย เจ้าได้รับการปลดปล่อยจากความเจ็บป่วยของเจ้าแล้ว" 13 พระองค์ทรงวางพระหัตถ์บนนาง ในทันใดนั้น นางก็เหยียดตัวตรงขึ้น และนางก็สรรเสริญพระเจ้า 14 แต่นายธรรมศาลาไม่พอใจ เพราะพระเยซูทรงรักษาโรคในวันสะบาโต ดังนั้น นายธรรมศาลาจึงกล่าวกับฝูงชนว่า "มีหกวันที่จัดไว้สำหรับทำงาน จงมาและรับการรักษาโรคในวันเหล่านั้นเถิด อย่าทำงานในวันสะบาโตเลย" 15 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบเขาว่า "เจ้าคนหน้าซื่อใจคด พวกท่านจะไม่ปล่อยลาหรือวัวออกจากคอกและนำมันไปกินน้ำในวันสะบาโตหรือ? 16 เช่นเดียวกันกับบุตรสาวของอับราฮัมคนนี้ที่ซาตานได้ผูกมัดนางไว้นานถึงสิบแปดปีแล้ว ไม่สมควรที่นางจะได้หลุดพ้นจากสิ่งที่ผูกมัดนางในวันสะบาโตหรือ?" 17 เมื่อพระองค์ตรัสถ้อยคำเหล่านี้ คนที่ต่อต้านพระองค์ก็ได้รับความอับอาย แต่ฝูงชนทั้งปวงก็พากันชื่นชมยินดีที่พระองค์ได้ทรงกระทำทุกสิ่งที่น่าสรรเสริญ 18 แล้วพระเยซูตรัสว่า "ราชอาณาจักรของพระเจ้าเป็นอย่างไร เราจะเปรียบราชอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนกับอะไรดี? 19 ก็เป็นเหมือนกับเมล็ดมัสตาร์ดเมล็ดหนึ่งที่คนนำมาหว่านไว้ในสวนของเขา และมันก็เติบโตขึ้นเป็นต้นไม้ใหญ่ และนกในอากาศก็มาทำรังบนกิ่งก้านของมัน" 20 พระองค์ตรัสอีกครั้งว่า "เราจะเปรียบราชอาณาจักรของพระเจ้ากับอะไรดี? 21 ก็เป็นเหมือนเชื้อที่หญิงคนหนึ่งได้นำมาผสมลงไปในแป้งสามถัง จนแป้งนั้นฟูขึ้นทั้งหมด" 22 พระเยซูได้เสด็จตามบ้านเมืองต่างๆ ที่อยู่ระหว่างทางที่มุ่งไปสู่กรุงเยรูซาเล็มและสอนพวกเขา 23 บางคนทูลพระองค์ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า คนที่จะรอดได้มีจำนวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นหรือ?" พระองค์จึงตรัสตอบพวกเขาว่า 24 "จงเพียรพยายามที่จะเข้าไปทางประตูแคบ เราบอกท่านว่า มีคนจำนวนมากที่ต้องการจะเข้าไปทางนั้น แต่พวกเขาไม่สามารถที่จะเข้าไปได้" 25 ในวันหนึ่ง เมื่อเจ้าของบ้านลุกขึ้นและปิดประตูใส่กลอน แล้วพวกท่านจะยืนทุบประตูอยู่ภายนอก และพูดว่า 'นายเจ้าข้า นายเจ้าข้า ขอให้เราเข้าไปข้างในเถิด' และเจ้าของบ้านจะตอบพวกท่านว่า 'เราไม่รู้จักเจ้า หรือไม่รู้ว่าเจ้ามาจากไหน' 26 แล้วพวกท่านจะตอบว่า 'เราได้กินและดื่มต่อหน้าท่าน และท่านได้สอนที่ถนนของเรา' 27 แต่เจ้าของบ้านจะตอบกลับมาว่า 'เราบอกเจ้าว่า เราไม่รู้ว่าเจ้ามาจากไหน จงไปให้พ้นหน้าเรา เจ้าคนชั่ว' 28 ที่นั่นจะมีเสียงร้องไห้และเสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เมื่อท่านได้เห็นอับราฮัม อิสอัค ยาโคบและบรรดาผู้เผยพระวจนะทุกคนในราชอาณาจักรของพระเจ้า ส่วนท่านจะถูกโยนออกไปข้างนอก 29 พวกเขาจะมาจากทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือและทิศใต้ และพักสบายในราชอาณาจักรของพระเจ้า 30 และจงรู้ไว้ว่า คนสุดท้ายจะกลายมาเป็นคนแรก และคนแรกจะกลายเป็นสุดท้าย" 31 หลังจากนั้นไม่นานนัก พวกฟาริสีก็มาหาและพูดกับพระองค์ว่า "จงออกไปจากที่นี่ เพราะเฮโรดต้องการจะฆ่าท่าน" 32 พระเยซูตรัสว่า "จงไปบอกเจ้าสุนัขจิ้งจอกนั้นว่า 'ดูสิ เราได้ขับผีออกไป และทำการรักษาในวันนี้ และวันพรุ่งนี้ และวันที่สาม เราจะทำให้สำเร็จตามเป้าหมายของเรา' 33 ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เราก็ไม่จำเป็นที่จะทำต่อไปไม่ว่าจะเป็นวันนี้ พรุ่งนี้ และวันต่อๆ ไป เพราะการที่จะฆ่าผู้เผยพระวจนะที่ออกไปจากกรุงเยรูซาเล็มเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ 34 เยรูซาเล็มเอ๋ย เยรูซาเล็มที่ได้ฆ่าบรรดาผู้เผยพระวจนะ และเอาก้อนหินขว้างคนเหล่านั้นที่ได้ส่งมาเพื่อเจ้า บ่อยครั้งที่เราปรารถนาที่จะรวบรวมลูกๆ ของเจ้า เหมือนกับแม่ไก่ที่กกลูกไว้ใต้ปีกของมัน แต่เจ้าไม่ได้ปรารถนาเช่นนั้น 35 ดูสิ บ้านของเจ้าก็ถูกทำให้รกร้าง เราบอกท่านว่า พวกท่านจะไม่ได้เห็นเราอีกจนกว่าพวกท่านจะบอกว่า "ขอให้ผู้ที่เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจงทรงพระเจริญ"

Chapter 14

1 ในวันสะบาโตเมื่อพระองค์เสด็จไปเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งของพวกหัวหน้าฟาริสีเพื่อรับประทานอาหาร ที่นั่นพวกเขาจับตาดูพระองค์อย่างใกล้ชิด 2 นี่แน่ะ มีชายคนหนึ่งที่ป่วยเป็นโรคบวมน้ำอยู่ต่อหน้าพระองค์ 3 พระเยซูถามพวกผู้เชี่ยวชาญบัญญัติของยิวและพวกฟาริสีว่า "การรักษาโรคในวันสะบาโตถูกต้องตามบัญญัติหรือไม่?" 4 แต่พวกเขานิ่งเงียบ ดังนั้นพระเยซูจึงจับตัวชายที่ป่วยนั้น พระองค์รักษาเขา และปล่อยเขากลับไป 5 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "มีคนใดในพวกท่านที่มีบุตรชายคนหนึ่งหรือวัวตัวหนึ่งตกลงไปในบ่อน้ำในวันสะบาโตแล้วจะไม่รีบช่วยบุตรหรือวัวนั้นขึ้นมาทันทีบ้าง?" 6 พวกเขาไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ 7 เมื่อพระเยซูสังเกตเห็นว่าคนเหล่านั้นที่ได้รับคำเชิญเลือกนั่งในที่อันมีเกียรติ พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาเป็นคำอุปมาว่า 8 "เมื่อท่านได้รับคำเชิญจากใครบางคนให้ไปร่วมงานมงคลสมรส จงอย่านั่งในที่อันมีเกียรติ เพราะอาจมีบางคนที่ได้รับคำเชิญที่มีเกียรติมากยิ่งกว่าท่าน 9 เมื่อคนที่เชิญพวกท่านทั้งสองมาถึง เขาจะพูดกับท่านว่า 'ขอท่านลุกจากที่นั่งนี้เพื่อให้อีกคนหนึ่ง' แล้วท่านก็จะต้องอับอายเพราะต้องย้ายไปนั่งในที่ต่ำสุด 10 แต่เมื่อท่านได้รับคำเชิญ จงไปและนั่งในที่ต่ำสุด และเมื่อคนที่เชิญท่านมาถึง เขาอาจพูดกับท่านว่า 'สหายเอ๋ย ขอไปนั่งในที่สูงกว่าเถิด' เมื่อนั่นท่านก็จะได้รับเกียรติต่อหน้าผู้คนทั้งปวงที่นั่งร่วมโต๊ะเดียวกันกับท่าน 11 เพราะทุกคนที่ยกย่องตัวเองจะถูกทำให้ถ่อมลง แต่คนที่ถ่อมตัวลงจะได้รับการยกย่อง 12 พระเยซูตรัสกับชายคนนั้นที่เชิญพระองค์ด้วยว่า "เมื่อท่านจัดงานเลี้ยงกลางวันหรือตอนเย็นก็ตาม อย่าเชิญบรรดาสหาย หรือพวกพี่น้อง หรือเหล่าเครือญาติของท่าน หรือเพื่อนบ้านที่ร่ำรวย เพราะพวกเขาจะเชิญท่านกลับและทำการเลี้ยงตอบแทนท่าน 13 แต่เมื่อท่านจัดงานเลี้ยง จงเชิญคนที่ยากจน คนพิการ คนง่อย และคนตาบอด 14 แล้วท่านจะได้รับพระพรเพราะว่าพวกเขาไม่สามารถตอบแทนท่านได้ แต่ท่านจะได้รับการตอบแทนในวันที่คนชอบธรรมเป็นขึ้นมาจากความตาย" 15 เมื่อคนหนึ่งในท่ามกลางพวกเขาที่นั่งร่วมโต๊ะกับพระเยซูได้ยินสิ่งเหล่านี้ เขาจึงพูดกับพระองค์ว่า "พระพรเป็นของคนที่จะได้รับประทานอาหารในราชอาณาจักรของพระเจ้า" 16 แต่พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ชายคนหนึ่งได้จัดเตรียมงานเลี้ยงใหญ่ในมื้อเย็น และเขาได้เชิญคนมากมาย 17 เมื่ออาหารเย็นได้จัดเตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว เขาบอกให้คนรับใช้ของเขาไปบอกกับคนเหล่านั้นที่ได้รับคำเชิญว่า "ขอมาเถิดเพราะว่าทุกสิ่งเตรียมไว้พร้อมแล้ว" 18 พวกเขาก็เริ่มต้นหาข้ออ้าง คนแรกบอกว่า "ข้าพเจ้าได้ซื้อที่นาแปลงหนึ่ง และข้าพเจ้าต้องออกไปดูแลที่นานั้น ขออภัยที่ไปร่วมงานไม่ได้" 19 และอีกคนหนึ่งบอกว่า "ข้าพเจ้าได้ซื้อวัวมาห้าคู่ และข้าพเจ้าต้องไปลองวัวพวกนั้น ขอโทษที่ข้าพเจ้าไปร่วมงานไม่ได้" 20 และอีกคนหนึ่งบอกว่า "ข้าพเจ้าได้แต่งงานมีภรรยาแล้ว ข้าพเจ้าไม่สามารถไปร่วมงานได้" 21 คนรับใช้จึงมาและบอกถึงสิ่งเหล่านี้ให้กับเจ้านายของเขา แล้วเจ้านายของบ้านนั้นจึงโกรธและบอกกับคนรับใช้ของเขาว่า "จงรีบออกไปตามถนนและตรอกซอยต่างๆในเมืองนี้ และพาพวกคนยากจน คนพิการ คนตาบอด และคนง่อยมาที่งานเลี้ยง" 22 คนรับใช้บอกว่า "เจ้านายครับ สิ่งที่ท่านสั่งนั้นได้ทำแล้ว แต่ก็ยังมีที่ว่างเหลืออยู่" 23 เจ้านายคนนั้นจึงบอกกับคนรับใช้ว่า "จงออกไปตามทางหลวงต่างๆ และตามพื้นที่โดยรอบ และเกณฑ์ผู้คนให้เข้ามา เพื่อว่าบ้านของเราจะไม่มีที่ว่าง 24 เราบอกเจ้าว่าจะไม่มีคนใดในพวกที่ได้รับเชิญนั้นได้ลิ้มรสอาหารของเราเลย" 25 ตอนนี้ฝูงชนกลุ่มใหญ่กำลังติดตามพระองค์ พระองค์จึงหันไปและตรัสกับพวกเขาว่า 26 "ถ้าใครก็ตามที่มาหาเราและไม่เกลียดชังบิดา มารดา ภรรยา บุตร พี่น้องชายหญิงของเขา รวมทั้งชีวิตของเขาเอง เขาจะเป็นสาวกของเราไม่ได้ 27 ใครก็ตามที่ไม่แบกกางเขนของตนและตามเรามาก็เป็นสาวกของเราไม่ได้ 28 เพราะว่ามีคนใดในพวกท่านที่ปรารถนาจะสร้างหอสูงแล้วจะไม่นั่งลงคำนวนต้นทุนที่จะใช้เพื่อสร้างหอสูงนั้นให้เสร็จสมบูรณ์ก่อนหรือ? 29 มิเช่นนั้น เมื่อเขาได้วางรากฐานและไม่สามารถสร้างให้สำเร็จได้ ทุกคนที่มองเห็นก็จะเริ่มต้นเย้ยหยันเขา 30 โดยพูดว่า 'ชายคนนี้เริ่มต้นสร้างและไม่สามารถทำให้สำเร็จได้' 31 หรือมีกษัตริย์องค์ใดที่ต้องยกทัพไปเผชิญหน้ากับกษัตริย์อีกองค์หนึ่งในศึกสงครามแล้วจะไม่นั่งลงและหาคำปรึกษาก่อนว่าด้วยกองกำลังทหารหนึ่งหมื่นคนจะสามารถรบชนะกองกำลังทหารสองหมื่นคนของกษัตริย์อีกองค์หนึ่งได้หรือไม่? 32 และถ้าหากไม่สามารถรบชนะได้ ในขณะที่กองทัพของอีกฝ่ายยังอยู่ห่างไกล กษัตริย์องค์นี้ก็จะส่งผู้แทนคนหนึ่งไปเพื่อสร้างสัมพันธไมตรี 33 เพราะฉะนั้น ใครก็ตามในพวกท่านที่ไม่ยอมละทิ้งทุกสิ่งที่เขามีก็ไม่สามารถเป็นสาวกของเราได้ 34 เกลือเป็นสิ่งดี แต่ถ้าเกลือสูญเสียรสเค็มของมันแล้ว จะทำให้มันกลับมามีรสเค็มอีกได้อย่างไรหรือ? 35 มันจะไม่สามารถถูกนำมาใส่ดิน หรือใช้หมักปุ๋ยธรรมชาติได้อีก มันจะถูกขว้างทิ้งไป ใครที่มีหูเพื่อฟัง ก็จงฟังเถิด"

Chapter 15

1 ในเวลานั้น พวกคนเก็บภาษีและพวกคนบาปทั้งหลายเข้ามาหาพระเยซูเพื่อจะฟังพระองค์ 2 ทั้งพวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์ได้บ่นต่อกันและกันว่า "ชายผู้นี้ต้อนรับคนบาปและถึงขั้นกินด้วยกันกับพวกเขา" 3 พระเยซูได้ตรัสเป็นคำอุปมาแก่พวกเขาว่า 4 "คนไหนในพวกท่าน มีแกะอยู่ร้อยตัว และมีหนึ่งตัวได้หายไป จะไม่ละทิ้งเก้าสิบเก้าตัวไว้ในถิ่นทุรกันดาร แล้วออกไปตามหาตัวที่หลงหายนั้นจนกระทั่งพบหรือ 5 และเมื่อได้พบแล้ว เขาจึงยกแกะขึ้นแบกบนบ่าด้วยความปิติยินดี 6 เมื่อเขาได้กลับมาถึงบ้าน เขาได้เชิญมิตรสหายและเพื่อนบ้านของเขามาพร้อมกัน แล้วบอกแก่พวกเขาว่า 'มาร่วมชื่นชมยินดีกับข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าได้พบแกะของข้าพเจ้าที่หายไป' 7 เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในทำนองเดียวกันนี้ จะมีความชื่นชมยินดีในสวรรค์ เมื่อคนบาปคนหนึ่งกลับใจ มากกว่าผู้ชอบธรรมเก้าสิบเก้าคนที่ไม่ต้องการกลับใจ 8 หรือหญิงคนใดที่มีเหรียญเงินสิบเหรียญ ถ้าเธอทำเหรียญนั้นสูญหายไปเหรียญหนึ่ง จะไม่จุดไฟตะเกียงและกวาดบ้านค้นหาอย่างขยันขันแข็งจนกระทั่งพบหรือ 9 และเมื่อเธอพบแล้ว เธอก็จะเชิญมิตรสหายและเพื่อนบ้านของเธอ มาพร้อมกัน และบอกว่า "จงชื่นชมยินดีร่วมกันกับข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าได้พบเหรียญที่ข้าพเจ้าทำหายไป" 10 ในทำนองเดียวกันนี้ เราบอกท่านว่า จะมีความชื่นชมยินดีท่ามกลางเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้า เมื่อมีคนบาปคนหนึ่งกลับใจ 11 แล้วพระเยซูตรัสว่า "ชายคนหนึ่งมีบุตรชายสองคน 12 และบุตรชายคนเล็กพูดกับบิดาเขาว่า 'พ่อครับ ขอแบ่งทรัพย์สมบัติส่วนที่เป็นของลูกให้ลูกด้วย' แล้วเขาก็แบ่งทรัพย์สมบัติให้บุตรทั้งสอง 13 ต่อมาไม่กี่วัน บุตรชายคนเล็กนั้นได้รวบรวมทุกสิ่งที่เป็นของเขาและเดินทางไปยังเมืองไกลและเขาใช้เงินของตนที่นั่นอย่างฟุ่มเฟือยในการซื้อสิ่งของที่ไม่จำเป็น และผลาญเงินของตนในการใช้ชีวิตแบบสำมะเลเทเมา 14 เมื่อเขาได้ใช้เงินจนหมดแล้ว ก็เกิดการกันดารอาหารอย่างรุนแรงทั่วเมือง เขาจึงเริ่มขัดสน 15 เขาได้ออกไปเป็นลูกจ้างของชาวเมืองคนหนึ่งในเมืองนั้น และคนนั้นได้ส่งเขาไปให้เลี้ยงหมูในทุ่งนา 16 และเขาเต็มใจที่จะกินฝักถั่วที่หมูกิน เพราะไม่มีใครให้อะไรเขากิน 17 แต่เมื่อบุตรน้อยสำนึกตัวได้ เขาจึงพูดว่าว่า "คนรับใช้ของพ่อ ไม่ว่าจะมีมากสักแค่ไหน ยังมีอาหารกินอย่างมากเกินพอแต่เราต้องมาอดอาหารตายที่นี่หรือ 18 เราจะออกจากที่นี่ไปหาพ่อของเรา และพูดกับท่านว่า "พ่อครับ ลูกผิดต่อสวรรค์และผิดต่อท่านด้วย 19 ลูกไม่สมควรที่จะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านอีกต่อไป ขอโปรดให้ลูกอยู่ในฐานะของลูกจ้างคนหนึ่งด้วยเถิด" 20 ดังนั้น บุตรชายคนเล็กจึงออกเดินทางมาหาบิดาของเขา ขณะที่เขาอยู่แต่ไกล บิดาได้เห็นเขา และมีใจสงสาร จึงวิ่งออกไปกอดและจูบเขา 21 บุตรชายพูดกับพ่อว่า "พ่อครับ ลูกผิดต่อสวรรค์และผิดต่อท่านด้วย ลูกไม่สมควรที่จะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านอีกต่อไป 22 บิดาพูดกับคนใช้ว่า 'จงรีบนำเอาเสื้อคลุมอย่างดีมาใส่ให้เขา และเอาแหวนมาสวมใส่นิ้วมือให้เขา และเอารองเท้ามาให้เขาสวม 23 แล้วจงเอาลูกวัวที่อ้วนพีมาฆ่าให้เรามาจัดงานเลี้ยงฉลองกัน 24 เพราะลูกชายของเราได้ตายไปแล้ว แต่ตอนนี้กลับเป็นขึ้นมาอีกครั้ง เขาได้หลงหายไปแต่ตอนนี้ได้พบแล้ว แล้วพวกเขาจึงเริ่มต้นเฉลิมฉลอง 25 ส่วนบุตรชายคนโตนั้นออกไปยังทุ่งนา เมื่อเขากลับมาใกล้จะถึงบ้านแล้วก็ได้ยินเสียงดนตรีและการเต้นรำ 26 เขาเรียกคนรับใช้คนหนึ่งมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น 27 คนรับใช้พูดกับเขาว่า 'น้องชายของท่านได้กลับมาบ้าน บิดาของท่านได้ฆ่าลูกวัวตัวอ้วนพี เพราะเขาได้กลับมาด้วยความปลอดภัย 28 พี่ชายคนโตก็โกรธ และไม่ยอมเข้าบ้าน บิดาของเขาก็ออกมาขอร้องเขา 29 แต่บุตรชายคนโตพูดกับบิดาว่า ดูสิ หลายปีมานี้ลูกได้ปรนนิบัติรับใช้พ่อ และลูกไม่เคยทำผิดกฎของพ่อ แต่พ่อก็ไม่เคยให้ลูกแพะสักตัวหนึ่งเพื่อที่ลูกจะได้ฉลองร่วมกับมิตรสหาย 30 แต่เมื่อบุตรชายของพ่อคนที่ผลาญสมบัติของพ่อโดยการคบหากับหญิงโสเภณีกลับมา ท่านก็ฆ่าลูกวัวอ้วนพีให้แก่เขา 31 บิดาได้พูดกับเขาว่า 'ลูกเอ๋ยเจ้าอยู่กับพ่อมาตลอด และทุกสิ่งที่เป็นของพ่อก็เป็นของเจ้าอยู่แล้ว 32 แต่เป็นเรื่องที่เราสมควรจะชื่นชมยินดีและรื่นเริง เพราะว่าน้องชายคนนี้ของเจ้าได้ตายไปแล้ว แต่เดี๋ยวนี้กลับเป็นขึ้นมาอีก เขาได้หลงหายไปแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ได้พบกันอีก'

Chapter 16

1 พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกด้วยว่า "ยังมีเศรษฐีคนหนึ่งที่มีคนต้นเรือน มีคนมารายงานท่านว่าคนต้นเรือนคนนี้ได้ผลาญทรัพย์สมบัติของท่าน 2 ดังนั้นเศรษฐีจึงเรียกเขามาถามว่า 'เรื่องที่เราได้ยินมาเกี่ยวกับเจ้านั้นหมายความว่าอย่างไร? จงเอาบัญชีต้นเรือนของเจ้ามา เพราะเจ้าไม่ได้เป็นคนต้นเรือนอีกต่อไป' 3 คนต้นเรือนนั้นรำพึงกับตนเองว่า 'เราควรทำอย่างไรดี เพราะนายจะถอดเราออกจากงานในหน้าที่ต้นเรือนแล้ว? จะขุดดินก็ไม่มีแรง และจะขอทานก็อายเขา 4 เรารู้แล้วว่าเราจะทำอะไรดี เพื่อว่าเมื่อเราถูกถอดจากหน้าที่ต้นเรือนแล้ว ผู้คนก็จะต้อนรับเราเข้าไปในบ้านเรือนของพวกเขา' 5 ต่อมาคนต้นเรือนนั้นเรียกลูกหนี้แต่ละคนของนายของเขามา เขาถามคนแรกว่า 'ท่านเป็นหนี้นายข้าพเจ้าเท่าไหร่?' 6 เขาตอบว่า 'เป็นหนี้น้ำมันมะกอกจำนวนหนึ่งร้อยถัง' และเขาบอกกับลูกหนี้คนนั้นว่า 'เอาบิลมา นั่งลงเร็วเข้า แล้วแก้เป็นห้าสิบถัง' 7 จากนั้นคนต้นเรือนก็พูดกับอีกคนว่า 'แล้วท่านเป็นหนี้อยู่เท่าไหร่?' เขาตอบว่า 'เป็นหนี้ข้าวสาลีจำนวนหนึ่งร้อยกระสอบ' เขาบอกกับลูกหนี้คนนั้นว่า 'เอาบิลมา แล้วแก้เป็นแปดสิบกระสอบ' 8 แล้วเศรษฐีก็ชมคนต้นเรือนอธรรมนั้นเพราะเขาได้กระทำอย่างฉลาด เพราะว่าคนของโลกนี้ก็ฉลาดในการจัดการกับพวกเขาเองมากกว่าคนของความสว่าง 9 เราบอกพวกท่านว่า จงสร้างมิตรสหายโดยใช้เงินที่ได้มาอย่างไม่ถูกต้อง เพื่อว่าเมื่อสูญเสียเงินนั้นไป เขาทั้งหลายจะได้ต้อนรับท่านเข้าสู่ที่อาศัยนิรันดร์ 10 คนที่สัตย์ซื่อในสิ่งเล็กน้อยที่สุดก็สัตย์ซื่อในสิ่งใหญ่ด้วย และคนที่ไม่สัตย์ซื่อในสิ่งเล็กน้อยที่สุด ก็ไม่สัตย์ซื่อในสิ่งใหญ่ด้วย 11 หากท่านไม่สัตย์ซื่อในการใช้เงินที่ได้มาอย่างไม่ถูกต้อง ใครจะวางใจท่านสำหรับความมั่งคั่งแท้จริง? 12 และหากท่านไม่สัตย์ซื่อในการใช้เงินของผู้อื่น ใครจะมอบเงินที่เป็นของท่านให้แก่ท่าน? 13 ไม่มีผู้รับใช้คนใดปรนนิบัตินายสองคนได้ เพราะเขาจะเกลียดนายคนหนึ่งและรักนายอีกคน หรือเขาจะทุ่มเทต่อนายคนหนึ่งและเหยียดหยามนายอีกคน ท่านไม่สามารถปรนนิบัติพระเจ้าและความมั่งคั่งไปพร้อมกันได้" 14 ฝ่ายพวกฟาริสีซึ่งเป็นคนเห็นแก่เงินได้ยินสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด พวกเขาก็เยาะเย้ยพระองค์ 15 พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า "ท่านทำตัวให้ดูดีในสายตามนุษย์ แต่พระเจ้าทรงพิสูจน์ทราบจิตใจของพวกท่าน ด้วยว่าซึ่งเป็นที่ยกย่องท่ามกลางมนุษย์กลับเป็นที่น่ารังเกียจในสายพระเนตรพระเจ้า 16 หนังสือธรรมบัญญัติและหนังสือผู้เผยพระวจนะมีผลใช้จนกระทั่งยอห์นได้มา นับตั้งแต่นั้นมาข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าก็ได้ถูกประกาศออกไป และทุกคนก็พยายามบากบั่นที่จะเข้าไปในทางนั้น 17 การที่จะให้สวรรค์และโลกสลายไปก็ง่ายกว่าที่จะให้สักขีดใดขีดหนึ่งของหนังสือธรรมบัญญัติเป็นโมฆะ 18 ผู้ใดที่หย่าภรรยาตนแล้วไปแต่งงานกับหญิงอื่นก็ผิดประเวณี และผู้ชายที่แต่งงานกับผู้หญิงที่หย่าจากสามีของนางก็ผิดประเวณีเช่นกัน 19 ยังมีเศรษฐีคนหนึ่งสวมใส่ผ้าลินินสีม่วงเนื้อดี เขามีความสุขกับความมั่งคั่งมหาศาลของเขาทุกๆ วัน 20 มีขอทานคนหนึ่งชื่อลาซารัส เป็นแผลทั้งตัว ได้มานอนอยู่หน้าประตูรั้วบ้านของเศรษฐี 21 และเขาใคร่จะกินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของเศรษฐีนั้น และนอกจากนั้นพวกสุนัขก็เข้ามาเลียแผลของเขา 22 อยู่มาเมื่อขอทานนั้นตายและเหล่าทูตสวรรค์นำเขาไปอยู่ข้างกายอับราฮัม ฝ่ายเศรษฐีนั้นก็ตายด้วยและถูกฝังไว้ 23 และอยู่ในนรก อยู่ในสภาพที่ทุกข์ทรมานสาหัส เศรษฐีนั้นก็แหงนดูเห็นอับราฮัมอยู่ไกลๆ และลาซารัสก็อยู่ข้างๆท่าน 24 เขาจึงร้องว่า 'อับราฮัมบิดาเจ้าข้า ขอโปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด ขอใช้ลาซารัสมา เพื่อจะเอาปลายนิ้วจุ่มน้ำมาแตะลิ้นข้าพเจ้าให้เย็น เพราะข้าพเจ้าเจ็บปวดสาหัสอยู่ในเปลวไฟนี้ 25 แต่อับราฮัมตอบว่า 'ลูกเอ๋ย จำได้ไหมว่าตลอดชีวิตของเจ้า เจ้าได้รับสิ่งดีทั้งสิ้นแต่ลาซาลัสอยู่ในสภาพเลวร้ายสิ้น มาบัดนี้เขาได้รับการปลอบประโลมอยู่ที่นี่แต่เจ้าอยู่ในความทรมานแสนสาหัส 26 นอกจากนั้น หุบเหวใหญ่ได้วางลงมั่นคงแล้ว เพื่อว่าพวกคนที่ต้องการข้ามจากที่นี่ไปหาเจ้าก็ทำไม่ได้ และไม่มีผู้ใดที่จะข้ามจากที่นั่นมายังพวกเราได้เช่นกัน' 27 เศรษฐีนั้นพูดว่า 'ข้าพเจ้าขอร้องท่าน อับราฮัมบิดาเจ้าข้า ขอท่านช่วยส่งเขาไปยังบ้านบิดาของข้าพเจ้า 28 เพราะว่าข้าพเจ้ามีพี่น้องห้าคน ให้ลาซารัสได้เตือนเขาเพื่อให้เขากลัวที่จะมายังที่ทรมานสาหัสแห่งนี้' 29 แต่อับราฮัมกล่าวว่า 'พวกเขามีโมเสสและบรรดาผู้เผยพระวจนะแล้ว ให้พวกเขาฟังท่านเหล่านั้นเถิด' 30 เศรษฐีนั้นจึงว่า 'มิได้ อับราฮัมบิดาเจ้าข้า เพราะหากมีใครบางคนจากหมู่คนตายไปหาพวกเขา พวกเขาจะได้กลับใจใหม่' 31 แต่อับราฮัมตอบเขาว่า 'หากพวกเขาไม่ฟังโมเสสและบรรดาผู้เผยพระวจนะแล้ว ต่อให้มีใครบางคนเป็นขึ้นจากตาย ก็ไม่สามารถที่จะชักจูงพวกเขาได้เลย'"

Chapter 17

1 พระเยซูตรัสแก่เหล่าสาวกของพระองค์ว่า "แน่ทีเดียวที่จะมีสิ่งต่างๆที่เป็นสาเหตุให้พวกเราทำบาป แต่วิบัติจะมีแก่บุคคลที่เป็นต้นเหตุ 2 ถ้าเอาหินโม่ผูกคอของเขาและถ่วงในทะเลก็ยังดีกว่าการที่เขาเป็นต้นเหตุให้คนหนึ่งในบรรดาผู้เล็กน้อยเหล่านี้หลงผิด 3 จงระวังให้ดี ถ้าหากพี่น้องของพวกท่านทำบาป จงว่ากล่าวเขา ถ้าเขากลับใจ พวกท่านจงให้อภัยเขา 4 ถ้าหากเขาทำบาปต่อท่านเจ็ดครั้งในหนึ่งวัน แล้วเขากลับมาหาท่านทั้งเจ็ดครั้งโดยกล่าวว่า "ข้าพเจ้ากลับใจ" ท่านต้องให้อภัยแก่เขา" 5 พวกอัครทูตกล่าวต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า "ขอเพิ่มความเชื่อให้กับพวกเราเถิด" 6 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า "ถ้าพวกท่านมีความเชื่อเท่ากับเมล็ดมัสตาร์ดหนึ่งเมล็ด พวกท่านก็จะพูดกับต้นหม่อนนี้ว่า "จงถอนรากและไปปักลงในทะเล" มันก็จะเชื่อฟังพวกท่าน 7 สมมติว่าพวกท่านมีคนรับใช้คนหนึ่งที่เป็นคนไถนาหรือคนเลี้ยงแกะ ท่านจะพูดกับเขาเมื่อเขากลับมาจากทุ่งนาหรือว่า 'มาเร็ว มานั่งลงและกินอาหารด้วยกัน'? 8 แต่ผู้เป็นเจ้านายจะไม่พูดอย่างนี้หรือว่า 'จงเตรียมอาหารให้เรากิน และจงคาดเอวของเจ้า และรับใช้เราจนกว่าเราจะกินดื่มเสร็จ จากนั้นเจ้าจึงค่อยกินและดื่ม'? 9 เขาไม่ขอบคุณคนรับใช้เพราะคนรับใช้ทำสิ่งต่างๆตามคำสั่งของเขาใช่ไหม? 10 พวกท่านก็เช่นเดียวกัน เมื่อพวกท่านได้ทำตามคำสั่งที่พวกท่านได้รับแล้ว ก็สมควรพูดว่า 'พวกเราเป็นคนรับใช้ที่ไม่คู่ควร เพราะพวกเราเพียงแต่ทำสิ่งที่พวกเราสมควรทำอยู่แล้ว'" 11 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่พระองค์เสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์เสด็จผ่านเขตชายแดนของแคว้นสะมาเรียและแคว้นกาลิลี 12 เมื่อพระองค์เข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง พระองค์ได้พบชายสิบคนที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนที่นั่น พวกเขายืนอยู่ห่างจากพระองค์ 13 และพวกเขาเปล่งเสียงร้องว่า "พระเยซู ท่านอาจารย์ ขอโปรดเมตตาพวกเราเถิด" 14 เมื่อพระองค์มองเห็นพวกเขา พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า "จงไปและสำแดงตัวของพวกท่านแก่พวกปุโรหิต" และสิ่งที่เกิดขึ้นคือในขณะที่พวกเขากำลังไปนั้นพวกเขาก็หายจากโรคเรื้อน 15 เมื่อหนึ่งคนในพวกเขามองเห็นว่าเขาได้รับการรักษาให้หายแล้ว เขาจึงย้อนกลับมาและร้องเสียงดังถวายเกียรติแด่พระเจ้า 16 เขาก้มกราบลงที่พระบาทของพระเยซูและขอบพระคุณพระองค์ เขาเป็นชาวสะมาเรีย 17 พระเยซูตรัสตอบว่า "ทั้งสิบคนก็ได้รับการรักษาให้หายไม่ใช่หรือ? แล้วอีกเก้าคนไปไหนเล่า? 18 ไม่มีคนอื่นที่กลับมาถวายเกียรติแด่พระเจ้าเว้นแต่คนต่างชาติคนนี้หรืออย่างไร?" 19 พระเยซูจึงตรัสแก่เขาว่า "จงลุกขึ้นและไปเถิด ความเชื่อของท่านได้รักษาท่านแล้ว" 20 พวกฟาริสีถามพระเยซูว่าเมื่อไหร่ที่ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะมาถึง พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า "ราชอาณาจักรของพระเจ้าไม่ใช่บางสิ่งที่สังเกตเห็นได้ 21 หรือสิ่งที่ใครจะพูดว่า 'ดูที่นี่สิ' หรือ 'ดูที่นั่นสิ' เพราะราชอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ท่ามกลางพวกท่าน" 22 พระเยซูตรัสกับพวกสาวกว่า "วันเหล่านั้นจะมาถึงเมื่อพวกท่านปรารถนาที่จะเห็นหนึ่งในบรรดาวันของบุตรมนุษย์ แต่พวกท่านจะไม่ได้เห็น 23 พวกเขาจะพูดกับพวกท่านว่า 'ดูที่นั่น ดูที่นี่' แต่จงอย่าไปดู หรือจงอย่าตามพวกเขาไป 24 เหมือนกับฟ้าแลบที่ทำให้ท้องฟ้าสว่างจากฟากหนึ่งไปยังอีกฟากหนึ่ง บุตรมนุษย์ก็จะเป็นเช่นนั้นในวันของพระองค์ 25 แต่พระองค์จะต้องทนทุกข์หลายประการและถูกปฏิเสธโดยคนในยุคนี้ก่อน 26 และสิ่งที่จะเกิดขึ้นในบรรดาวันของบุตรมนุษย์นั้นก็จะเหมือนกันกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยของโนอาห์ 27 พวกเขากิน ดื่ม แต่งงาน และถูกยกให้เป็นสามีภรรยากัน จนกระทั่งถึงวันที่โนอาห์เข้าไปในเรือ และน้ำก็ได้ท่วมจนทำลายพวกเขาทุกคน 28 อย่างเดียวกันกับสมัยของโลทที่พวกเขากิน ดื่ม ซื้อขาย เพาะปลูก และก่อสร้าง 29 จนเมื่อถึงวันที่โลทออกจากเมืองโสโดม มีลูกไฟและกำมะถันตกลงมาจากฟ้าสวรรค์เหมือนฝนพรำ และพวกเขาก็ถูกทำลายจนหมดสิ้น 30 หลังจากที่สิ่งเดียวกันนี้เกิดขึ้นแล้วก็จะถึงวันที่บุตรมนุษย์ถูกทำให้ปรากฎ 31 ในวันนั้นอย่าให้คนที่อยู่บนหลังคาบ้านลงมาเก็บข้าวของต่างๆของเขา และอย่าให้คนที่อยู่ในทุ่งนากลับมาบ้าน 32 จงจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นกับภรรยาของโลทให้ดี 33 ใครก็ตามแสวงหาที่จะได้มาซึ่งชีวิตของเขาก็จะสูญเสียชีวิต แต่ใครก็ตามที่สูญเสียชีวิตก็จะรักษาชีวิตให้รอดได้ 34 เราบอกท่านว่า ในคืนนั้นจะมีคนสองคนนอนอยู่ในเตียงเดียวกัน คนหนึ่งจะถูกรับไปและอีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ 35 จะมีผู้หญิงสองคนที่กำลังโม่แป้งด้วยกัน คนหนึ่งจะถูกรับไปและอีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ 36 37 พวกเขาทูลถามพระองค์ว่า "จะเกิดขึ้นที่ไหนหรือองค์พระผู้เป็นเจ้า?" พระองค์ตอบพวกเขาว่า "ซากศพอยู่ที่ไหน ฝูงนกแร้งจะรุมล้อมกันอยู่ที่นั่น" 37 พวกเขาทูลถามพระองค์ว่า "สิ่งนี้จะเกิดขึ้นที่ไหนหรือ องค์พระผู้เป็นเจ้า?" และพระเยซูจึงตรัสต่อพวกเขาว่า "ซากศพอยู่ที่ไหนก็จะมีฝูงนกแร้งมารุมล้อมกันอยู่ที่นั่น"

Chapter 18

1 แล้วพระองค์ตรัสคำอุปมาเรื่องหนึ่งแก่พวกเขาเกี่ยวกับการที่พวกเขาควรอธิษฐานอยู่เสมอและไม่อ่อนระอาใจ 2 ตรัสว่า "ในเมืองหนึ่ง มีผู้พิพากษาคนหนึ่งที่ไม่ยำเกรงพระเจ้าและไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด 3 ในเมืองนั้นมีหญิงม่ายคนหนึ่ง และนางได้มาขอร้องผู้พิพากษาบ่อยๆ ว่า 'ขอช่วยให้ข้าพเจ้าได้รับความยุติธรรมต่อฝ่ายตรงข้ามของข้าพเจ้าด้วยเถิด' 4 ผู้พิพากษาไม่เต็มใจจะช่วยนางอยู่เป็นเวลานาน แต่หลังจากนั้นสักระยะหนึ่งเขาก็คิดว่า 'แม้เราไม่ยำเกรงพระเจ้าหรือไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด 5 แต่เพราะหญิงม่ายคนนี้มากวนใจเรา เราจะช่วยนางให้ได้รับความยุติธรรม เพื่อนางจะได้ไม่ต้องมารบกวนเราอยู่เรื่อยๆ'" 6 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า "จงฟังสิ่งที่ผู้พิพากษาอธรรมพูด 7 แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงนำความยุติธรรมมายังคนที่พระองค์เลือกสรรไว้คือผู้ที่ร้องเรียกพระองค์ทั้งวันทั้งคืน พระองค์จะยืดเวลาในเรื่องพวกเขาไหม? 8 เราบอกท่านทั้งหลายว่าพระองค์จะนำความยุติธรรมมาสู่พวกเขาอย่างรวดเร็ว แม้กระนั้น เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมา พระองค์จะพบความเชื่อบนโลกนี้ไหม?" 9 แล้วพระองค์ได้ตรัสคำอุปมานี้แก่บางคนที่หลงคิดว่าตัวเองเป็นคนชอบธรรมและดูถูกคนอื่นว่า 10 "มีชายสองคนขึ้นไปอธิษฐานในพระวิหาร คนหนึ่งเป็นฟาริสี อีกคนเป็นคนเก็บภาษี 11 ฟาริสีได้ยืนขึ้นอธิษฐานในเรื่องเกี่ยวกับตัวเองว่า 'ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขอบคุณพระองค์ที่ข้าพระองค์ไม่เหมือนคนอื่นที่เป็นโจร เป็นคนอธรรม เป็นคนล่วงประเวณี หรือเป็นเหมือนคนเก็บภาษีคนนี้ 12 ข้าพระองค์ถืออดอาหารสองครั้งในทุกสัปดาห์ ข้าพระองค์ถวายสิบลดจากทั้งหมดที่ข้าพระองค์ได้รับ' 13 แต่คนเก็บภาษีกำลังยืนอยู่ห่างออกไป ไม่กล้าแม้แต่จะมองขึ้นบนฟ้า ได้แต่ทุบอกของเขา กล่าวว่า 'ข้าแต่พระเจ้า โปรดเมตตาข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปด้วยเถิด' 14 เราบอกท่านว่า เมื่อชายคนนี้กลับไปยังบ้านของเขาก็ถือว่าเขาเป็นคนชอบธรรมมากกว่าคนอื่น เพราะว่าทุกคนที่ยกตัวเองขึ้นก็จะถูกเหยียดลง แต่ทุกคนที่ถ่อมตัวลงก็จะได้รับการยกขึ้น'" 15 แล้วผู้คนก็พาบรรดาทารกทั้งหลายมาให้พระองค์สัมผัสแตะต้อง แต่เมื่อพวกสาวกเห็น พวกเขาก็พากันห้ามผู้คน 16 แต่พระเยซูทรงเรียกผู้คนให้เข้ามาหาพระองค์และตรัสว่า "จงปล่อยให้พวกเด็กเล็กๆ มาหาเราเถิด อย่าห้ามพวกเขาเลย เพราะว่าราชอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของเด็กเหล่านี้ 17 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ผู้ใดไม่รับราชอาณาจักรของพระเจ้าเช่นเดียวกับเด็กเล็กๆ ผู้นั้นจะเข้าในราชอาณาจักรนั้นไม่ได้อย่างแน่นอน" 18 มีขุนนางคนหนึ่งมาถามพระองค์ว่า "ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าจะต้องทำสิ่งใดจึงจะได้ชีวิตรันดร์" 19 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ท่านเรียกเราว่าประเสริฐทำไม? ไม่มีใครประเสริฐ นอกจากพระเจ้าเท่านั้น 20 ท่านรู้จักพระบัญญัติที่บอกว่า อย่าล่วงประเวณี อย่าฆ่าคน อย่าลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของท่าน" 21 ขุนนางคนนั้นก็บอกว่า "บัญญัติทั้งหมดนี้ ข้าพเจ้าได้เชื่อฟังทำตามมาตั้งแต่สมัยเมื่อเยาว์วัย" 22 เมื่อพระเยซูทรงได้ยินดังนั้น พระองค์ก็ตรัสแก่เขาว่า "ท่านยังขาดอยู่สิ่งหนึ่ง ท่านต้องไปขายทั้งหมดที่ท่านมีอยู่ และแจกจ่ายให้แก่คนยากจน แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ และจงตามเรามา" 23 แต่เมื่อขุนนางได้ยินสิ่งเหล่านี้ เขาก็เป็นทุกข์อย่างมาก เพราะว่าเขามั่งมีอย่างมาก 24 แล้วพระเยซูทรงเห็นเขาเศร้าโศกอย่างมาก จึงตรัสว่า "เป็นการยากแค่ไหนที่เหล่าคนมั่งมีจะเข้าในราชอาณาจักรของพระเจ้า 25 เพราะอูฐลอดรูเข็มก็จะง่ายกว่าคนมั่งมีที่จะเข้าในราชอาณาจักรของพระเจ้า" 26 บรรดาคนที่ได้ยินต่างก็พูดว่า "แล้วใครจะรอดได้?" 27 พระเยซูทรงตอบว่า "สิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์นั้น แต่เป็นไปได้สำหรับพระเจ้า" 28 เปโตรพูดว่า "พวกเราได้ทิ้งทุกสิ่งที่เป็นของเราเองและได้ติดตามพระองค์" 29 แล้วพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ผู้ใดที่ทิ้งบ้าน หรือภรรยา หรือพี่น้อง หรือบิดามารดา หรือบุตร เพื่อเห็นแก่ราชอาณาจักรของพระเจ้า 30 ก็จะเป็นผู้ที่ได้รับผลมากขึ้นในโลกนี้ และจะได้ชีวิตนิรันดร์ในโลกหน้า" 31 หลังจากที่พระองค์ทรงเรียกสาวกสิบสองคนเข้ามา พระองค์ก็ตรัสแก่พวกเขาว่า "ดูสิ เรากำลังจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และทุกสิ่งที่ได้บันทึกไว้โดยพวกผู้เผยพระวจนะในเรื่องบุตรมนุษย์ก็จะสำเร็จลง 32 เพราะว่าพระองค์จะถูกมอบให้แก่คนต่างชาติ แล้วพระองค์จะถูกเยาะเย้ย และจะถูกทำให้อับอาย และถูกถ่มน้ำลายรด 33 หลังเฆี่ยนตีพระองค์แล้ว พวกเขาก็จะประหารพระองค์และในวันที่สามพระองค์ก็จะเป็นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง" 34 พวกเขาก็ไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้เลย และถ้อยคำนี้ถูกปิดซ่อนไว้จากพวกเขา และพวกเขาไม่เข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัส 35 ต่อมา เมื่อพระเยซูมาใกล้เมืองเยรีโค มีชายตาบอดคนหนึ่งกำลังนั่งขอทานอยู่ริมถนน 36 เมื่อได้ยินเสียงฝูงชนกำลังเดินผ่านไป เขาก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น 37 พวกเขาก็ตอบชายตาบอดนั้นว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธกำลังเสด็จผ่านมา 38 ชายตาบอดก็ร้องออกมาว่า "พระเยซู บุตรดาวิดเจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าด้วยเถิด" 39 ผู้คนที่เดินอยู่ข้างหน้าก็ห้ามปรามชายตาบอดให้เงียบเสียงลง แต่เขากลับร้องดังกว่าเดิมว่า "บุตรดาวิดเจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด" 40 พระเยซูทรงยืนนิ่งและสั่งให้พาชายคนนั้นเข้ามาหาพระองค์ เมื่อชายตาบอดเข้ามาใกล้ พระเยซูทรงถามเขาว่า 41 "ท่านอยากให้เราทำอะไรเพื่อท่าน?" ชายคนนั้นตอบว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าอยากมองเห็น" 42 พระเยซูตรัสแก่เขาว่า "จงมองเห็นเถิด ความเชื่อของท่านทำให้ท่านหาย" 43 แล้วเขาก็มองเห็นในทันที และได้ติดตามพระองค์ และถวายเกียรติพระเจ้า เมื่อประชาชนทั้งหมดได้เห็นสิ่งนี้ก็พากันสรรเสริญพระเจ้า

Chapter 19

1 พระเยซูเสด็จเข้าไปและกำลังจะผ่านเมืองเยรีโค 2 นี่แน่ะ มีชายผู้หนึ่งอยู่ที่นั่นนามว่าศักเคียส เขาเป็นหัวหน้าคนเก็บภาษีและเป็นคนมั่งมี 3 เขากำลังพยายามจะมองว่าพระเยซูเป็นใคร แต่เพราะตัวเขาเตี้ยจึงไม่สามารถมองเห็นจากในกลุ่มคนได้ 4 ดังนั้น เขาจึงวิ่งนำหน้าผู้คนไปและปีนขึ้นบนต้นมะเดื่อเพื่อจะดูพระองค์ เพราะพระเยซูกำลังจะผ่านมาทางนั้น 5 เมื่อพระเยซูมาถึงที่นั่น พระองค์เงยหน้าขึ้นและพูดกับเขาว่า "ศักเคียสเอ๋ย จงรีบลงมาเถิด เพราะวันนี้เราจะต้องอยู่ที่บ้านของเจ้า" 6 ดังนั้น เขาจึงรีบปีนลงมาและต้อนรับพระองค์อย่างเบิกบานใจ 7 เมื่อคนทั้งหลายเห็นดังนี้ พวกเขาทั้งหมดก็พากันบ่นว่า "พระองค์เข้าไปเยี่ยมชายที่เป็นคนบาป" 8 ศักเคียสลุกขึ้นยืนและพูดกับองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า "พระองค์ ข้าพเจ้าจะมอบทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของข้าพเจ้าให้กับคนยากไร้ และถ้าหากข้าพเจ้าได้โกงสิ่งใดของผู้ใด ก็จะคืนให้แก่เขาสี่เท่า" 9 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "วันนี้ ความรอดก็มาถึงบ้านหลังนี้แล้ว เพราะเขาก็เป็นบุตรของอับราฮัมอีกคนหนึ่งด้วย 10 เพราะบุตรมนุษย์ได้มาเพื่อแสวงหาและช่วยคนทั้งหลายที่หลงหายให้รอด" 11 ขณะที่พวกเขาได้ยินเรื่องเหล่านี้ พระองค์กำลังตรัสต่อไปอีกเป็นคำอุปมา เพราะพระองค์อยู่ใกล้กับเมืองเยรูซาเล็ม และผู้คนคิดว่าราชอาณาจักรของพระเจ้ากำลังจะมาปรากฏโดยทันที 12 พระองค์ตรัสว่า "มีขุนนางท่านหนึ่งจะเดินทางไปยังประเทศที่ไกลเพื่อจะได้รับอาณาจักรนี้เป็นของตนแล้วก็จะกลับมา 13 ท่านเรียกทาสรับใช้สิบคนมาหาและให้เงินสิบมินาแก่พวกเขาแล้วบอกว่า "จงใช้เงินทำธุรกิจจนกว่าเราจะกลับมา" 14 แต่ประชากรเมืองนั้นเกลียดชังชายขุนนางผู้นี้ และส่งคณะทูตผู้แทนตามหลังท่านไป โดยบอกว่า "เราจะไม่ให้ชายผู้นี้ปกครองเรา" 15 เมื่อถึงเวลาท่านขุนนางก็กลับมาอีกครั้ง และได้รับอาณาจักรแล้ว เขาสั่งให้เรียกบรรดาทาสรับใช้ที่ท่านได้มอบเงินไว้ให้มาหา เพื่อที่ท่านจะทราบว่าพวกทาสรับใช้ได้กำไรจากธุรกิจเท่าไร 16 ทาสคนแรกเข้ามาต่อหน้าท่านแล้วพูดว่า 'นายเจ้าข้า เงินมินาของท่านได้เพิ่มขึ้นอีกสิบมินา' 17 ท่านขุนนางพูดกับทาสนั้นว่า 'ดีมาก ทาสผู้รับใช้ที่ดี เพราะเจ้าซื่อสัตย์ในสิ่งที่เล็กน้อย เจ้าจะมีอำนาจที่จะปกครองสิบเมือง' 18 คนที่สองเข้ามาแล้วพูดว่า "เงินมินาของท่านเจ้านายเพิ่มขึ้นอีกห้ามินาเจ้าข้า" 19 ท่านขุนนางจึงตอบทาสนั้นว่า "เจ้าจงดูแลเมืองทั้งห้าเถิด" 20 อีกคนหนึ่งเข้ามาแล้วพูดว่า 'นายเจ้าข้า นี่คือเงินมินาของท่านที่ข้าพเจ้าเก็บใส่ไว้ในผ้าอย่างปลอดภัย 21 เพราะข้าพเจ้าเกรงกลัวท่าน ท่านเป็นผู้ที่เข้มงวด ท่านเก็บเอาสิ่งที่ท่านไม่ได้ลงแรง และเก็บเกี่ยวในสิ่งที่ท่านไม่ได้หว่านไว้' 22 ขุนทางท่านนั้นจึงพูดกับทาสนั้นว่า 'เราจะตัดสินเจ้าตามคำพูดของเจ้าเอง เจ้าทาสผู้ชั่วช้า เจ้ารู้ว่าเราเป็นผู้ที่เข้มงวด เก็บเอาสิ่งที่เราไม่ได้ลงแรง และเก็บเกี่ยวในสิ่งที่เราไม่ได้หว่าน 23 แล้วทำไมเจ้าไม่เก็บเงินไว้ที่ธนาคาร เมื่อเรากลับมาก็จะได้เงินพร้อมดอกเบี้ยด้วย' 24 ท่านขุนนางจึงพูดกับเหล่าคนที่ยืนอยู่ใกล้ว่า 'จงนำเงินมินาจากชายผู้นี้ไปให้คนที่มีสิบมินา' 25 พวกเขาพูดกับท่านว่า 'นายเจ้าข้า แต่ชายคนนั้นมีสิบมินาแล้ว' 26 'เราขอบอกกับเจ้าว่า คนที่มีมากก็จะได้รับมากขึ้นอีก แต่สำหรับคนที่ไม่มี แม้แต่สิ่งที่เขามีนั้นก็จะถูกเอาไป 27 แต่บรรดาศัตรูของเรา ผู้ที่ไม่ยอมให้เราปกครองพวกมัน จงนำตัวพวกมันมาที่นี่แล้วฆ่ามันเสียต่อหน้าเรา' 28 เมื่อพระองค์ตรัสเสร็จแล้วนั้น ก็เดินนำหน้า ขึ้นไปที่เมืองเยรูซาเล็ม 29 จนกระทั่งเมื่อพระองค์ได้มาถึงหมู่บ้านเบธฟายีและเบธานี มาภูเขาที่เรียกว่าภูเขามะกอกเทศ แล้วส่งสาวกไปสองคน 30 โดยบอกว่า "จงไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง เมื่อพวกท่านเข้าไปก็จะเห็นลูกลาที่ยังไม่เคยถูกขี่ จงแก้มัดแล้วพามันมา 31 หากมีใครถามท่านว่า 'แก้มัดทำไม' ก็ให้ตอบว่า 'องค์พระผู้เป็นเจ้าต้องการจะใช้มัน'" 32 พวกคนที่พระองค์ส่งไปก็เจอกับลูกลาตามที่พระเยซูบอกพวกเขา 33 ขณะที่พวกเขากำลังแก้มัดลูกลาอยู่นั้น พวกเจ้าของก็ถามพวกเขาว่า "ท่านแก้มัดลูกลาทำไมกัน?" 34 พวกเขาตอบว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้าต้องการใช้มัน" 35 พวกเขานำลูกลามาให้พระเยซูแล้ววางเสื้อคลุมไว้บนหลังแล้วให้พระเยซูขึ้นขี่ลา 36 ขณะที่พระองค์เสด็จนั้น พวกเขาก็พากันปูเสื้อคลุมของตนไว้บนถนน 37 เมื่อพระองค์กำลังมาใกล้ทางลงจากภูเขามะกอกเทศ ฝูงชนที่เป็นสาวกของพระองค์ก็เริ่มชื่นชมยินดีและสรรเสริญพระเจ้ากันอย่างเสียงดังถึงการอิทธิฤทธิ์ที่พวกเขาได้เห็น 38 และพูดว่า "สาธุการแด่กษัตริย์ผู้มาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า สันติสุขจงมีแด่สวรรค์และพระสิริในที่สูงสุด" 39 ฟาริสีบางคนท่ามกลางฝูงชนได้พูดว่า "อาจารย์ ห้ามปรามพวกสาวกของท่านหน่อยสิ" 40 พระเยซูตอบว่า "เราขอบอกท่านว่า ถ้าแม้คนเหล่านี้เงียบเสียงไป ก้อนหินทั้งหลายก็จะเปล่งเสียงแทน" 41 เมื่อพระเยซูมาใกล้เมือง พระองค์ร้องไห้เสียใจให้กับเมืองนี้ 42 ตรัสว่า "ถ้าหากในวันนี้แม้เจ้าเองควรรู้ว่าสิ่งใดจะนำสันติสุขมาให้เจ้า แต่บัดนี้ สิ่งนี้ก็ถูกปิดซ่อนไว้จากดวงตาของเจ้าแล้ว" 43 เพราะวันนั้นจะมาถึงท่าน วันที่ศัตรูของเจ้าจะก่อคอกกั้นเจ้ารอบๆ ล้อมรอบเจ้า และโจมตีจากทุกๆ ด้าน 44 พวกเขาจะทุบตีท่านทั้งๆ ที่ท่านมีบุตรอยู่ด้วยลงไปกองบนพื้น พวกเขาจะไม่ปล่อยให้ก้อนหินซ้อนทับกันสักก้อนเลย เพราะท่านไม่ยอมรับตอนที่พระเจ้ากำลังพยายามช่วยให้ท่านรอด" 45 พระเยซูเข้าไปในพระวิหารและขับไล่พวกที่กำลังขายของอยู่ 46 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "มีคำเขียนไว้ว่า 'วิหารของเราเป็นวิหารของการอธิษฐาน' แต่ท่านกลับทำให้เป็นรังของโจร" 47 พระเยซูกำลังสั่งสอนอยู่ที่พระวิหารทุกวัน พวกหัวหน้าปุโรหิต พวกธรรมาจารย์ และเหล่าผู้นำของยิวต้องการจะฆ่าพระองค์ 48 แต่พวกเขายังไม่สามารถหาทางทำได้ เพราะคนทั้งหลายกำลังตั้งใจฟังคำสอนของพระองค์

Chapter 20

1 อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่พระเยซูกำลังสั่งสอนประชาชน และเทศนาข่าวประเสริฐอยู่ในพระวิหารนั้น พวกหัวหน้าปุโรหิต และธรรมาจารย์ พร้อมด้วยพวกผู้อาวุโสก็มาหาพระองค์ 2 พวกเขาพูดกับพระองค์ว่า "บอกเราด้วยว่าท่านกระทำการเหล่านี้ด้วยสิทธิอำนาจอะไร หรือใครเป็นผู้ให้สิทธิอำนาจนี้แก่ท่าน?" 3 พระองค์ตรัสตอบพวกเขาว่า "เราก็จะถามพวกท่านข้อหนึ่งด้วยเหมือนกัน บอกเราด้วยเรื่อง 4 บัพติศมาของยอห์นเป็นสิ่งที่มาจากสวรรค์หรือมาจากมนุษย์?" 5 พวกเขาหารือกันและกันว่า "ถ้าเราบอกว่า 'มาจากสวรรค์' เขาก็จะถามเราว่า "แล้วทำไมท่านถึงไม่เชื่อยอห์น?" 6 แต่ถ้าเราบอกว่า 'มาจากมนุษย์' ประชาชนทั้งหมดก็จะเอาหินขว้างเรา เพราะพวกเขาเชื่อว่ายอห์นเป็นผู้เผยพระวจนะ" 7 ดังนั้น พวกเขาจึงตอบว่าไม่รู้ว่ามาจากไหน 8 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า "เราก็จะไม่ตอบท่านเหมือนกันว่า เรากระทำการเหล่านี้ด้วยสิทธิอำนาจอันใด" 9 พระองค์ได้เล่าคำอุปมาเรื่องนี้ให้ประชาชนฟังว่า "ชายคนหนึ่งปลูกสวนองุ่นไว้ แล้วให้ชาวสวนเช่า แล้วออกเดินทางไปต่างประเทศเป็นเวลานาน 10 เมื่อถึงเวลากำหนด เขาจึงส่งคนรับใช้ไปยังชาวสวน เพื่อเก็บส่วนแบ่งจากสวนองุ่นนั้น แต่ชาวสวนกลับทุบตีเขา และไล่เขากลับไปมือเปล่า 11 เขาจึงส่งคนรับใช้ไปอีกคนหนึ่ง พวกชาวสวนก็ทุบตีเขา กระทำต่อเขาอย่างน่าละอาย แล้วไล่เขากลับไปมือเปล่า 12 เขาก็ยังส่งคนรับใช้คนที่สามไปอีกครั้ง และพวกชาวสวนทำร้ายเขา และโยนเขาออกไป 13 ผู้เป็นเจ้าของสวนองุ่นจึงกล่าวว่า "เราจะทำอย่างไรดี? เราจะส่งบุตรที่รักของเราไป บางทีพวกชาวสวนคงจะให้เกียรติเขาบ้าง" 14 แต่เมื่อพวกชาวสวนเห็นบุตรนั้น พวกเขาหารือกันและกันว่า "คนนี้เป็นทายาท ให้เราฆ่าเขาเสียเถอะ เพื่อมรดกจะได้ตกเป็นของเรา" 15 พวกเขาโยนร่างของบุตรนั้นออกไปนอกสวนองุ่น แล้วฆ่าเขาเสีย ถ้าอย่างนั้น ผู้เป็นเจ้าของสวนควรจะทำอย่างไรกับเขาพวกดี? 16 เขาก็จะมาฆ่าพวกชาวสวนองุ่นนั้น แล้วยกสวนให้แก่ผู้อื่นเสีย" เมื่อพวกเขาได้ยินอย่างนั้นจึงพากันร้องว่า "ไม่ได้นะ" 17 แต่พระเยซูเพ่งดูพวกเขาแล้วตรัสว่า "ข้อพระคัมภีร์ตอนนี้หมายความว่าอะไร? ศิลาซึ่งช่างก่อสร้างไม่ยอมรับ ได้กลายเป็นศิลามุมเอกแล้ว? 18 ทุกคนที่ล้มทับศิลานั้นจะแตกหักเป็นชิ้นๆ แต่ถ้าศิลานั้นล้มทับผู้ใด เขาก็จะแหลกละเอียด" 19 เพราะฉะนั้น พวกธรรมาจารย์และหัวหน้าปุโรหิตจึงหาช่องทางที่จะจับพระองค์เสียในเวลานั้น เพราะพวกเขารู้ว่าพระองค์ตรัสคำอุปมานั้นเพื่อว่ากระทบเขา แต่พวกเขากลัวประชาชน 20 จึงส่งคนปลอมตัวเป็นพวกเคร่งศาสนา คอยจับตาดูพระองค์อย่างใกล้ชิด เพื่อจับผิดคำพูดของพระองค์ เพื่อหาทางจับกุมพระองค์ส่งให้ผู้มีอำนาจและเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง 21 พวกเขาถามพระองค์ว่า "อาจารย์ เรารู้ว่าท่านพูดและสอนอย่างถูกต้อง และท่านไม่เกรงกลัวหน้าใคร แต่สอนความจริงเรื่องวิถีทางของพระเจ้า 22 เป็นเรื่องถูกต้องหรือไม่ที่เราจะจ่ายภาษีให้แก่ซีซาร์?" 23 แต่พระเยซูทรงรู้ทันเล่ห์ของพวกเขา จึงตรัสกับเขาว่า 24 "ขอเงินเหรียญมาดูหน่อย รูปและคำจารึกบนเหรียญนี้เป็นของใคร?" พวกเขาตอบว่า "เป็นของซีซาร์" 25 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "ถ้าอย่างนั้น ของๆ ซีซาร์ก็จงให้แก่ซีซาร์ และของๆ พระเจ้าก็จงถวายแด่พระเจ้า" 26 พวกเขาจึงไม่อาจโต้แย้งเรื่องที่พระองค์ตรัสสอนต่อหน้าประชาชน ต่างก็อัศจรรย์ใจในคำตอบของพระองค์และไม่พูดอะไรอีก 27 พวกสะดูสีบางคนมาหาพระองค์ พวกนี้คือคนที่ไม่เชื่อในเรื่องการเป็นขึ้นมาจากความตาย 28 พวกเขาถามพระองค์ว่า "อาจารย์ โมเสสเขียนสั่งเราไว้ว่า ถ้าชายคนใดมีภรรยาและเขาตายไปโดยไม่มีบุตร ให้พี่ชายหรือน้องชายของเขารับหญิงนั้นมาเป็นภรรยา เพื่อช่วยให้พี่น้องของเขามีบุตรไว้สืบพงศ์พันธุ์ 29 ครอบครัวหนึ่งมีพี่น้องซึ่งเป็นชายเจ็ดคน คนแรกรับหญิงคนหนึ่งมาเป็นภรรยาแต่เขาตายไปโดยไม่มีบุตร 30 คนที่สองก็เช่นกัน 31 คนที่สามจึงรับนางมาเป็นภรรยา และเป็นเช่นนี้ไปจนถึงคนที่เจ็ดซึ่งก็ตายไปโดยไม่มีบุตร 32 ต่อมาภายหลังหญิงนั้นก็ตายด้วย 33 ฉะนั้น ในวันที่มีการเป็นขึ้นมาจากความตาย ขอถามว่านางจะเป็นภรรยาของใคร? เพราะคนทั้งเจ็ดต่างก็ได้นางเป็นภรรยาเหมือนกัน" 34 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "คนในโลกนี้แต่งงานและถูกยกให้เป็นสามีภรรยากัน 35 แต่คนซึ่งสมควรจะเป็นขึ้นมาจากความตายในยุคนั้น จะไม่มีการแต่งงานหรือยกให้เป็นสามีภรรยากันอีก 36 และจะตายอีกก็ไม่ได้ พวกเขาจะเป็นเหมือนทูตสวรรค์และเป็นบุตรของพระเจ้า เพราะเป็นผู้ที่ได้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว" 37 ส่วนเรื่องการเป็นขึ้นมาจากความตายนั้น แม้แต่โมเสสก็ยังได้แสดงให้เราเห็นจากเหตุการณ์ที่พุ่มไม้นั้น ท่านเรียกองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า พระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ 38 เท่ากับพระองค์ไม่ใช่พระเจ้าของคนตาย แต่เป็นพระเจ้าของคนเป็น เพราะทุกคนต้องเป็นอยู่ต่อหน้าพระองค์" 39 พวกธรรมาจารย์บางคนจึงตอบว่า "อาจารย์ ท่านตอบได้ดีจริง" 40 พวกเขาไม่กล้าถามคำถามอะไรพระองค์เพิ่มอีกเลย 41 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "ทำไมถึงพูดกันว่าพระคริสต์เป็นบุตรของดาวิด 42 เพราะดาวิดเองก็กล่าวไว้ในพระธรรมสดุดีว่า พระเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า "จงนั่งข้างขวามือของเรา 43 จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูกลายเป็นแท่นรองเท้าของท่าน" 44 ดังนั้น ถ้าดาวิดยังเรียกพระคริสต์ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า" แล้วพระองค์จะเป็นบุตรของดาวิดได้อย่างไร?" 45 ต่อหน้าต่อตาประชาชนซึ่งกำลังฟังอยู่นั้น พระองค์ตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า 46 "จงระวังพวกธรรมาจารย์ให้ดี พวกเขาชอบใส่เสื้อคลุมยาวๆ เดินไปตามตลาด ชอบให้คนคำนับเป็นพิเศษ พวกเขาชอบที่นั่งพิเศษในธรรมศาลาและตามงานเลี้ยง 47 แต่คนพวกนี้ชอบเขมือบบ้านเรือนของหญิงหม้าย และแสร้งอธิษฐานเสียยืดยาว พวกเขาจะต้องได้รับโทษหนักกว่าใครในการพิพากษา"

Chapter 21

1 พระเยซูเงยหน้าขึ้นและเห็นเศรษฐีคนหนึ่งกำลังนำเงินใส่กล่องถวาย 2 แล้วพระองค์เห็นหญิงม่ายยากจนอีกคนหนึ่งกำลังนำเงินจำนวนเล็กน้อยสองเหรียญมาถวาย 3 พระเยซูจึงตรัสว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า หญิงม่ายคนนี้ถวายเงินมากกว่าบรรดาคนทั้งปวง 4 เพราะเขาเหล่านั้นได้ถวายเงินส่วนที่เหลือใช้ แต่หญิงม่ายยากจนคนนี้ ได้ถวายเงินทั้งหมดสำหรับประทังชีวิตของเธอ 5 แล้วสาวกบางคนก็พูดถึงพระวิหาร ที่ตกแต่งด้วยหินสวยงามและของถวายเหล่านั้น พระองค์ตรัสว่า 6 "แต่สิ่งเหล่านี้ที่ท่านเห็น เมื่อวันนั้นมาถึง ศิลาจะพังราบคาบจนไม่เหลือให้ซ้อนทับกันอยู่เลย" 7 เขาเหล่านั้นจึงถามพระองค์ว่า "ท่านอาจารย์ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่? และอะไรจะเป็นหมายสำคัญว่าสิ่งทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้น?" 8 พระเยซูตอบว่า "จงระวัง อย่าให้ใครหลอกท่านได้ ด้วยว่าจะมีหลายคนมา ต่างอ้างนามของเรา กล่าวว่า 'เราเป็นผู้นั้น' และ 'เวลานั้นมาใกล้แล้ว' อย่าตามพวกเขาไป 9 เมื่อท่านได้ยินเสียงสงครามและการจลาจลเกิดขึ้น อย่าหวาดกลัวเลย ด้วยว่าสิ่งเหล่านี้จำเป็นจะต้องเกิดขึ้นก่อน แต่อวสานจะยังไม่เกิดขึ้นทันที" 10 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า ประชาชาติจะลุกขึ้นต่อสู้ประชาชาติ ราชอาณาจักรจะลุกขึ้นต่อสู้ราชอาณาจักร 11 จะมีแผ่นดินไหวใหญ่เกิดขึ้น และในหลายๆที่จะเกิดการกันดารอาหารและโรคระบาด จะมีเหตุการณ์น่ากลัวมากมายเกิดขึ้นและหมายสำคัญต่างๆจากฟ้าสวรรค์ 12 แต่ก่อนสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดจะเกิดขึ้น พวกเขาจะยื่นมือออกมาข่มเหงพวกท่าน ส่งท่านไปยังธรรมศาลาและจำคุก พาท่านไปต่อหน้ากษัตริย์และเจ้าหน้าที่เพราะนามของเรา 13 สิ่งนี้จะเป็นโอกาสให้ท่านได้เป็นพยาน 14 ดังนั้น จงให้หัวใจของท่านแน่วแน่อย่าวิตกกังวลไปก่อน ว่าจะแก้ต่างข้อหาเหล่านั้นอย่างไร 15 เพราะเราจะให้ถ้อยคำและสติปัญญานั้นแก่ท่าน จนศัตรูทั้งหมดไม่สามารถต่อต้านหรือโต้แย้งท่านได้ 16 แต่ท่านจะถูกมอบไว้กับ บิดามารดา พี่น้อง ญาติและเพื่อน และเขาจะทำให้พวกท่านบางคนถึงแก่ความตาย 17 ทุกคนจะเกลียดชังท่านเพราะนามของเรา 18 แต่ผมแม้เพียงเส้นเดียวจะไม่ร่วงจากศรีษะของท่านเลย 19 ใจท่านจะรอดเพราะความอดทนของท่าน 20 เมื่อท่านเห็นกรุงเยรูซาเล็มถูกล้อมโดยกองทัพมากมาย เมื่อนั้นท่านจะรู้ว่าเวลาแห่งการทำลายมาถึงแล้ว 21 ให้คนที่อยู่ในยูเดียหนีไปยังภูเขา และให้คนที่อยู่ในเมืองหนีออกไป และอย่าให้คนที่อยู่นอกเมืองนั้นเข้ามา 22 เพราะว่าวันเหล่านี้คือวันแห่งการแก้แค้น เพื่อให้ทุกสิ่งที่ถูกเขียนไว้จะสำเร็จเป็นจริงทุกประการ 23 น่าสงสารหญิงที่กำลังตั้งครรภ์และป้อนนมในวันเหล่านั้น เพราะจะมีความทุกข์ยากลำบากเกิดขึ้นบนแผ่นดินและพระพิโรธจะตกอยู่แก่คนเหล่านั้น 24 แล้วพวกเขาจะล้มด้วยดาบและถูกจับไปเป็นเชลยที่ต่างประเทศและคนต่างชาติจะเหยียบย่ำกรุงเยรูซาเล็ม จนกว่าเวลาของคนต่างชาติจะถูกเติมเต็ม 25 จะมีหมายสำคัญเกิดขึ้นที่ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาว ในโลกนี้ ชนชาติต่างๆจะได้รับความเจ็บปวด พบกับความสิ้นหวังเพราะเสียงคำรามของทะเลและคลื่น 26 จะมีคนล้มตายเพราะความกลัวด้วยความหวาดหวั่นต่อสิ่งที่จะบังเกิดขึ้นในโลก เพราะฤทธิ์เดชแห่งสวรรค์จะสั่นสะเทือน 27 พวกเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในหมู่เมฆด้วยฤทธิ์อำนาจและด้วยพระสิริยิ่งใหญ่ 28 เมื่อสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเริ่มเกิดขึ้น จงลุกขึ้น และเงยหน้าขึ้น เพราะการปลดปล่อยของท่านมาใกล้แล้ว" 29 พระเยซูตรัสกับเขาเป็นคำอุปมาว่า "จงดูต้นมะเดื่อและต้นไม้ทั้งหมด 30 เมื่อต้นพวกมันผลิใบท่านก็จะรู้ว่าฤดูร้อนมาถึงแล้ว 31 เช่นเดียวกัน เมื่อท่านเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ท่านก็รู้ว่าราชอาณาจักรของพระเจ้ามาใกล้แล้ว 32 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า คนในยุคนี้จะไม่ล่วงไป จนกว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น 33 ฟ้าและดินจะล่วงไป แต่ถ้อยคำของเราจะไม่สูญหายเลย 34 แต่จงระวังตัวของท่านให้ดี อย่าให้หัวใจของท่านเพิกเฉยและลุ่มหลง ความเมามายและกังวลในชีวิต เพราะวันนั้นจะมาถึงอย่างฉับพลันดุจดั่งกับดัก 35 เพราะสิ่งนี้จะตกบนทุกคนที่มีชีวิตอยู่บนพื้นผิวโลก 36 แต่จงตื่นตัวตลอดเวลา จงอธิษฐานเพื่อท่านจะเข้มแข็งจนสามารถหลีกหนีจากสิ่งเหล่านั้นที่จะเกิดขึ้น และเพื่อจะยืนหยัดต่อพระพักตร์ของบุตรมนุษย์ได้" 37 ในช่วงเวลากลางวัน พระองค์สั่งสอนอยู่ในบริเวณพระวิหาร ส่วนตอนกลางคืนพระองค์ออกไปข้างนอก เพื่ออธิษฐานบนภูเขามะกอกเทศ 38 มีผู้คนมากมายมารอฟังคำสอนของพระองค์ในพระวิหารตั้งแต่เช้าตรู่

Chapter 22

1 เมื่อใกล้จะถึงเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อที่เรียกว่าเทศกาลปัสกา 2 พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ก็ปรึกษากันว่า จะทำอย่างไรจึงจะฆ่าพระเยซูได้ เพราะพวกเขากลัวประชาชน 3 ซาตานได้เข้าดลใจยูดาสอิสคาริโอทที่เป็นคนหนึ่งในสาวกสิบสองคน 4 ยูดาสได้ไปปรึกษากับพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกนายทหารถึงการที่เขาจะมอบพระเยซูให้กับพวกเขา 5 พวกเขายินดีมาก และตกลงกันว่าจะให้เงินแก่ยูดาส 6 ยูดาสจึงตอบตกลง และพยายามหาโอกาสเหมาะที่จะมอบพระองค์แก่พวกเขา ในสถานที่ห่างไกลจากผู้คน 7 เมื่อถึงวันกินขนมปังไร้เชื้อ ซึ่งเป็นวันที่ลูกแกะปัสกาต้องถูกถวายเป็นเครื่องบูชา 8 พระเยซูจึงส่งเปโตร และยอห์นไปและตรัสว่า "จงไปและจัดเตรียมมื้ออาหารปัสกาสำหรับพวกเรา เพื่อที่เราจะรับประทานกัน" 9 พวกเขาทูลถามพระองค์ว่า "พระองค์ทรงประสงค์ให้เราจัดเตรียมที่ไหน?" 10 พระองค์ตรัสตอบพวกเขาว่า "ฟังนะ เมื่อพวกท่านเข้าไปในเมือง จะมีชายคนหนึ่งทูนหม้อน้ำมาพบท่าน จงตามเขาไปยังบ้านที่เขาเข้าไป 11 แล้วบอกกับเจ้าของบ้านว่า 'ท่านอาจารย์ให้ถามท่านว่า' "ห้องรับแขกที่เราจะรับประทานปัสกากับสาวกของเราอยู่ที่ไหน?" 12 เขาจะชี้ให้พวกท่านเห็นห้องใหญ่ชั้นบนที่ตกแต่งไว้เรียบร้อยแล้ว" 13 ดังนั้น พวกเขาก็ไปและพบทุกสิ่งตามที่พระองค์ตรัสกับพวกเขา แล้วพวกเขาก็จัดเตรียมมื้ออาหารปัสกาที่นั่น 14 เมื่อถึงเวลานั้น พระองค์ทรงนั่งลงกับพวกอัครสาวก 15 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "เรามีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะรับประทานในเทศกาลปัสกานี้กับพวกท่านก่อนที่เราจะต้องทนทุกข์ 16 เพราะเราบอกพวกท่านว่า เราจะไม่รับประทานอาหารนี้อีก จนกว่าสิ่งนั้นจะสำเร็จในราชอาณาจักรของพระเจ้า" 17 แล้วพระเยซูทรงหยิบถ้วย และเมื่อพระองค์ทรงโมทนาพระคุณแล้ว พระองค์ตรัสว่า "จงเอาไปแจกจ่ายในพวกท่าน 18 เพราะเราบอกท่านว่า เราจะไม่ดื่มจากผลของเถาองุ่นอีก จนกว่าราชอาณาจักรของพระเจ้าจะมาถึง" 19 แล้วพระองค์ทรงหยิบขนมปัง และเมื่อพระองค์ทรงโมทนาพระคุณแล้ว พระองค์จึงทรงหักขนมปัง และตรัสว่า "นี่คือกายของเราที่ให้แก่ท่านทั้งหลาย จงทำอย่างนี้ เพื่อระลึกถึงเรา" 20 พระองค์ทรงหยิบถ้วยนั้นด้วยอาการอย่างเดียวกันหลังอาหารเย็น และตรัสว่า "ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ในโลหิตของเรา ที่เทออกเพื่อพวกท่าน" 21 จงตั้งใจฟังให้ดี มีคนหนึ่งที่ทรยศเราอยู่ร่วมโต๊ะกับเราที่นี่ 22 เพราะอันที่จริงบุตรมนุษย์จะเป็นไปตามที่ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว แต่วิบัติแก่ชายคนนั้นผ่านทางผู้ที่เขาได้ทรยศ 23 แล้วพวกเขาก็เริ่มถามกันเอง ว่าใครในพวกเขาที่จะทำเช่นนั้น 24 มีการโต้เถียงกันในพวกสาวกว่า ใครในพวกเขาที่ถือว่าเป็นใหญ่ที่สุด 25 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "บรรดากษัตริย์ของคนต่างชาติเป็นเจ้านายเหนือพวกเขา และมีอำนาจเหนือพวกเขา และได้รับการเรียกขานว่าเป็นผู้ครอบครองที่มีเกียรติ 26 แต่ไม่ได้เป็นอย่างนั้นในพวกท่าน แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ขอให้คนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในพวกท่าน จงเป็นเหมือนกับผู้ที่เล็กน้อยที่สุด และขอให้ผู้ที่เป็นคนที่สำคัญที่สุด จงเป็นเหมือนกับคนรับใช้ 27 เพราะใครที่ยิ่งใหญ่กว่ากัน คนที่นั่งโต๊ะหรือคนที่รับใช้? คนที่นั่งโต๊ะไม่ใช่หรือ? เราอยู่ท่ามกลางพวกท่านเหมือนกับเป็นคนที่รับใช้ 28 แต่พวกท่านเป็นคนที่ยังอยู่กับเราเมื่อเราเข้าสู่การทดลอง 29 เราได้มอบราชอาณาจักรให้แก่ท่าน อย่างที่พระบิดาของเราได้มอบราชอาณาจักรให้แก่เรา 30 ที่พวกท่านจะได้รับประทานและดื่มที่โต๊ะของเราในราชอาณาจักรของเรา และพวกท่านจะนั่งบนบัลลังก์เพื่อที่จะพิพากษาชนสิบสองเผ่าของอิสราเอล 31 ซีโมนเอ๋ย ซีโมนเอ๋ย จงระวังตัวให้ดี ซาตานได้ขอที่จะทำร้ายท่าน มันจะฝัดร่อนท่านเหมือนข้าวสาลี 32 แต่เราได้อธิษฐานเผื่อท่าน เพื่อความเชื่อของท่านจะไม่ล้มลง หลังจากที่ท่านหันกลับมาแล้ว ท่านจะหนุนกำลังพี่น้องของท่าน" 33 เปโตรทูลพระองค์ว่า"องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์พร้อมที่จะไปกับพระองค์ ไม่ว่าจะต้องติดคุกหรือตาย" 34 พระเยซูตรัสตอบว่า "เราบอกท่านว่า เปโตรเอ๋ย ในวันนี้ท่านจะปฏิเสธว่าไม่รู้จักเราถึงสามครั้งก่อนไก่ขัน" 35 แล้วพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "เมื่อเราส่งท่านออกไปโดยไม่มีกระเป๋าเงิน ถุงเสบียง หรือรองเท้า พวกท่านขาดสิ่งใดหรือไม่?" พวกเขาตอบพระองค์ว่า "ไม่ขาดสิ่งใดเลย" 36 พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า "แต่ตอนนี้ คนที่มีกระเป๋าเงินก็ให้เอาติดตัวไปและเอาถุงเสบียงไปด้วย คนที่ไม่มีดาบก็ให้ขายเสื้อคลุม แล้วซื้อดาบมา 37 เพราะเราบอกท่านว่า สิ่งที่เขียนไว้เกี่ยวกับเราจะต้องสำเร็จ 'ท่านถูกนับเข้ากับคนอธรรม' เพราะคำที่พยากรณ์เกี่ยวกับเราจะต้องสำเร็จ" 38 แล้วพวกเขาทูลพระองค์ว่า"องค์พระผู้เป็นเจ้า ดูสิ มีดาบสองเล่มอยู่ที่นี่" และพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "พอแล้ว" 39 หลังจากอาหารเย็น พระเยซูเสด็จไปยังภูเขามะกอกเทศเหมือนอย่างเคย และพวกสาวกก็ตามพระองค์ไป 40 เมื่อพวกเขามาถึง พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า "จงอธิษฐาน เพื่อที่พวกท่านจะไม่เข้าสู่การทดลอง" 41 พระองค์เสด็จออกไปห่างจากพวกเขาเท่าระยะขว้างก้อนหินตก พระองค์ทรงคุกเข่าลงและอธิษฐานว่า 42 "พระบิดา ถ้าหากเป็นน้ำพระทัยของพระองค์ ขอทรงเลื่อนถ้วยนี้ออกไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ตาม อย่าให้เป็นไปตามใจของข้าพระองค์ แต่ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์" 43 แล้วทูตองค์หนึ่งจากสวรรค์ก็ปรากฎต่อพระองค์ และเสริมกำลังพระองค์ 44 เมื่อพระองค์ทรงทนทุกข์ พระองค์ก็ยิ่งอธิษฐานอย่างจริงจังมากขึ้น จนพระเสโทของพระองค์เป็นเหมือนหยดพระโลหิตเม็ดใหญ่ตกลงสู่พื้นดิน 45 พระองค์ทรงลุกขึ้นจากการอธิษฐาน และเสด็จมาหาพวกสาวกและทรงเห็นว่าพวกเขากำลังหลับอยู่ เพราะความโศกเศร้า 46 พระองค์จึงตรัสถามพวกเขาว่า "ทำไมพวกท่านจึงยังหลับอยู่? จงลุกขึ้นและอธิษฐาน เพื่อพวกท่านจะไม่เข้าสู่การทดลอง" 47 ขณะที่พระองค์ตรัสอยู่นั้น นี่แน่ะ มีฝูงชนปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับยูดาสหนึ่งในสาวกสิบสองคนที่นำพวกเขามา ยูดาสเข้ามาใกล้พระเยซูและจูบพระองค์ 48 แต่พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ยูดาส ท่านจะทรยศต่อบุตรมนุษย์ด้วยการจูบหรือ?" 49 เมื่อพวกสาวกที่ห้อมล้อมพระเยซูอยู่ ได้เห็นว่าอะไรเกิดขึ้น พวกเขาทูลว่า"องค์พระผู้เป็นเจ้า เราควรจะฟันด้วยดาบนี้ไหม?" 50 แล้วหนึ่งในพวกเขาก็ฟันคนรับใช้ของมหาปุโรหิต และฟันหูขวาของเขาขาด 51 พระเยซูตรัสว่า "พอแล้ว" แล้วพระองค์ทรงแตะต้องหูของเขาและรักษาเขาให้หาย 52 พระเยซูตรัสกับพวกหัวหน้าปุโรหิต พวกนายทหารรักษาพระวิหาร และพวกผู้อาวุโสที่พากันมาต่อสู้กับพระองค์ว่า "พวกท่านออกมาต่อสู้อย่างกับเราเป็นโจร ด้วยดาบและด้วยกระบองหรือ? 53 เมื่อเราอยู่กับพวกท่านในพระวิหารทุกวัน พวกท่านไม่ได้แตะต้องเรา แต่นี่เป็นเวลาของท่านและเป็นอำนาจของความมืด" 54 พวกเขาจับกุมพระองค์ และนำพระองค์ไปที่บ้านของมหาปุโรหิต แต่เปโตรติดตามไปห่างๆ 55 หลังจากที่พวกเขาก่อไฟที่กลางลานบ้านและนั่งอยู่ด้วยกัน เปโตรก็นั่งอยู่ท่ามกลางพวกเขา 56 สาวใช้คนหนึ่งมองเห็นเปโตรนั่งผิงไฟอยู่ และจ้องมองเขาและบอกว่า "ชายคนนี้อยู่กับเขาด้วย" 57 แต่เปโตรปฏิเสธ และบอกว่า "หญิงเอ๋ย ข้าไม่รู้จักเขาเลย" 58 หลังจากนั้นไม่นาน อีกคนหนึ่งก็เห็นเขาและบอกว่า "เจ้าเป็นคนหนึ่งในพวกเขา" แต่เปโตรบอกว่า "พ่อหนุ่มเอ๋ย ข้าไม่ได้เป็น" 59 หลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วโมง ก็มีอีกคนหนึ่งยืนกรานว่า "ใช่แน่ๆ ชายคนนี้อยู่กับคนนั้นด้วย เพราะเขาเป็นชาวกาลิลี" 60 เปโตรบอกว่า "พ่อหนุ่มเอ๋ย ที่ท่านพูดนั้น ข้าไม่รู้เรื่องเลย" ในทันใดนั้น ในขณะที่เขาพูดอยู่ไก่ก็ขัน 61 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเหลียวมามองเปโตร เปโตรจึงระลึกถึงถ้อยคำที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับเขาว่า "ก่อนไก่ขันวันนี้ ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง" 62 เปโตรก็ออกไปข้างนอกและร้องไห้อย่างขมขื่น 63 พวกที่คุมพระเยซูก็เยาะเย้ยและตีพระองค์ 64 หลังจากที่พวกเขาปิดตาพระองค์แล้ว ก็ถามพระองค์ว่า "ทายสิ ว่าใครตีเจ้า" 65 พวกเขาพูดอีกหลายอย่างเกี่ยวกับพระเยซู ซึ่งเป็นการหมิ่นประมาทพระองค์ 66 ครั้นรุ่งเช้า บรรดาพวกผู้อาวุโสของประชาชนก็มารวมตัวกัน รวมทั้งพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ พวกเขานำพระองค์เข้าไปในสภา 67 และพูดว่า "ถ้าท่านเป็นพระคริสต์ จงบอกเรามาเถิด" แต่พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "ถ้าเราบอกท่าน ท่านก็จะไม่เชื่อ 68 และถ้าเราถามท่าน ท่านก็จะไม่ตอบ 69 ตั้งแต่นี้ไป บุตรมนุษย์จะนั่งอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์" 70 พวกเขาทุกคนพูดว่า "ท่านเป็นบุตรของพระเจ้าหรือ?" และพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "ท่านก็บอกแล้วว่าเราเป็น" 71 พวกเขาบอกว่า "ทำไมเรายังต้องการพยานอีกเล่า? เพราะเราก็ได้ยินกับหูตัวเองจากปากของเขาเองแล้ว"

Chapter 23

1 พวกเขาทั้งหมดได้ลุกขึ้นและพาพระเยซูไปหาปีลาต 2 พวกเขาเริ่มกล่าวหาพระเยซูว่า "พวกเราพบว่าชายคนนี้ได้ทำให้ชนชาติของเราให้หลงไป ด้วยการห้ามส่งส่วยแด่ซีซาร์และชายคนนี้กล่าวว่าตัวเขาเองเป็นพระคริสต์และเป็นกษัตริย์" 3 ปีลาตทูลถามพระองค์ว่า "ท่านเป็นกษัตริย์ของคนยิวหรือ?" และพระเยซูตอบว่า "ก็ท่านว่าแล้วนี่" 4 ปีลาตจึงพูดกับพวกหัวหน้าปุโรหิตและกับฝูงชนนั้นว่า "เราไม่พบความผิดของชายคนนี้เลย" 5 แต่พวกเขากล่าวยืนยันว่า "ชายผู้นี้ยุยงประชาชนให้วุ่นวาย และสั่งสอนทั่วตลอดแคว้นยูเดีย เริ่มตั้งแต่กาลิลีจนมาถึงที่นี่" 6 ดังนั้นเมื่อปีลาตได้ยินเรื่องนี้ ท่านจึงถามว่า ชายคนนี้เป็นชาวกาลิลีหรือ 7 เมื่อปีลาตทราบว่าพระองค์อยู่ภายใต้การปกครองของเฮโรด ท่านจึงส่งพระเยซูไปหาเฮโรด ผู้ซึ่งพักอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มในเวลานั้น 8 เมื่อเฮโรดเห็นพระเยซูท่านก็มีความยินดีเป็นอย่างมาก ด้วยว่านานมาแล้วที่ท่านอยากพบกับพระเยซูเพราะท่านได้ยินถึงเรื่องของพระองค์และท่านหวังที่จะเห็นการอัศจรรย์บางประการจากพระเยซู 9 เฮโรดได้ไต่สวนพระเยซูหลายข้อด้วยกัน แต่พระเยซูไม่ได้ตรัสตอบสิ่งใดเลย 10 ฝ่ายพวกหัวหน้ามหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ได้ลุกขึ้นยืนและกล่าวหาพระองค์อย่างรุนแรง 11 ฝ่ายเฮโรดกับพวกทหารของท่านได้ดูหมิ่นและกล่าวเยาะเย้ยพระองค์และเอาเสื้อผ้าที่สวยงามมาสวมให้พระองค์แล้วส่งพระองค์กลับไปหาปีลาตอีก 12 เฮโรดและปีลาตจึงได้กลายเป็นมิตรต่อกันในวันนั้น (ก่อนหน้านี้พวกเขาเป็นศัตรูกัน) 13 จากนั้นปีลาตจึงได้เรียกทั้งพวกหัวหน้าปุโรหิต พวกข้าราชการ และประชาชนให้มาประชุมพร้อมกัน 14 และปีลาตกล่าวกับพวกเขาว่า "พวกท่านพาคนนี้มาหาเราเหมือนกับว่าชายคนนนี้ได้นำประชาชนให้ทำสิ่งที่ชั่วช้า และดูซิ เราได้ถามเขาต่อหน้าพวกท่านและเราไม่พบว่าชายคนนี้มีความผิดตามข้อที่ท่านกล่าวหาเขา 15 เฮโรดก็ไม่เห็นว่าเขามีความผิดเพราะเขาส่งตัวชายคนนี้กลับมาหาเราอีก ดูเถิด ชายคนนี้ไม่ได้ทำผิดอะไรที่เขาควรจะมีโทษถึงตาย 16 ดังนั้น เราจะลงโทษเขาและปล่อยเขาไป" 17 .... 18 แต่ฝูงชนเหล่านั้นร้องขึ้นพร้อมกันว่า "จงจัดการชายคนนี้ แล้วปล่อยบารับบัสให้กับพวกเรา" 19 บารับบัสติดคุกเพราะก่อการจราจลในเมืองและฆ่าคน 20 ปีลาตนั้นยังต้องการที่ปล่อยพระเยซูไป จึงพูดกับพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง 21 แต่พวกเขากลับร้องตะโกนว่า "ตรึงเขาเสีย ตรึงเขาเสีย" 22 ปีลาตจึงถามพวกเขาเป็นครั้งที่สามว่า "ตรึงเขาทำไม เขาทำความชั่วร้ายอะไร? เราไม่พบเหตุผลอะไรที่เขาสมควรจะรับโทษถึงตาย ดังนั้นหลังจากที่เราลงโทษเขาแล้วเราจะปล่อยเขาไป" 23 แต่พวกเขาปลุกเร้าด้วยเสียงดังเพื่อเรียกร้องให้นำพระเยซูไปตรึงที่กางเขนและเสียงของพวกเขาก็สามารถโน้มน้าวปีลาตได้ 24 ดังนั้น ปีลาตจึงสั่งให้เป็นไปตามที่เขาทั้งหลายปรารถนา 25 ท่านจึงปล่อยคนที่เขาขอนั้นซึ่งติดคุกด้วยข้อหาการจราจลและการฆ่าคน แต่ท่านได้มอบพระเยซูไว้ตามใจพวกเขา 26 ขณะที่พวกเขานำพระองค์ออกไป พวกเขาได้บังคับซีโมนชาวไซรีนที่มาจากบ้านนอกแล้วเอากางเขนวางบนตัวเขาแล้วให้แบกตามพระเยซูไป 27 คนเป็นอันมากและพวกผู้หญิงที่ร้องไห้คร่ำครวญให้กับพระองค์ติดตามพระองค์ไป 28 แต่พระเยซูทรงหันมาตรัสกับพวกเขาว่า "บุตรสาวแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย อย่าร่ำไห้เพื่อเราเลย แต่จงร่ำไห้เพื่อตัวท่านเองและลูกๆ ของท่านเถิด 29 ดูเถิด จะมีวันที่พวกเขาจะกล่าวว่า 'พระพรจงมีแก่หญิงหมันและครรภ์ที่ไม่ได้ให้กำเนิดบุตร และถันที่ไม่ได้ให้นม' 30 แล้วพวกเขาจะเริ่มกล่าวแก่ภูเขาว่า 'จงล้มทับเรา' และกล่าวแก่เนินเขาว่า 'จงคลุมเราไว้ ' 31 เพราะถ้าพวกเขาทำสิ่งเหล่านี้ขณะที่ต้นไม้ยังเขียวสดอยู่ แล้วอะไรจะเกิดขึ้นตอนที่ต้นไม้เหี่ยวแห้ง?" 32 ยังมีชายอีกสองคนที่เป็นอาชญากรถูกลงโทษให้ถึงความตายพร้อมกับพระองค์ 33 เมื่อพวกเขามายังสถานที่ที่เรียกว่า "ภูเขาหัวกะโหลก" พวกเขาได้ตรึงพระองค์และตรึงโจรคนหนึ่งไว้ด้านขวาและอีกคนไว้ด้านซ้ายของพระองค์ 34 พระเยซูตรัสว่า "พระบิดา ขอทรงโปรดยกโทษให้พวกเขา เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขากำลังทำอะไร" และพวกเขาก็จับฉลากเพื่อเอาฉลองของพระองค์มาแบ่งกัน 35 ประชาชนพากันยืนมองขณะที่ผู้นำก็เยาะเย้ยพระองค์ว่า "เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ ก็จงให้เขาช่วยตนเองให้รอดเถิด ถ้าเขาเป็นพระคริสต์ของพระเจ้า ผู้ที่ทรงเลือก" 36 พวกทหารก็พากันเยาะเย้ยพระองค์ และเข้ามาหาพระองค์และเอาเหล้าองุ่นเปรี้ยวส่งใหัพระองค์ 37 แล้วกล่าวว่า "ถ้าท่านเป็นกษัริย์ของชาวยิว จงช่วยตัวเองให้รอดเถิด" 38 มีป้ายติดไว้ที่เหนือพระองค์ว่า "นี่คือกษัตริย์ของชาวยิว" 39 โจรคนหนึ่งที่กำลังถูกตรึงนั้นพูดหมิ่นประมาทพระองค์ว่า "ท่านไม่ใช่พระคริสต์ดอกหรือ? จงช่วยตัวท่านเองและเราให้รอดเถิด" 40 แต่โจรอีกคนได้กล่าวติหนิเขาว่า "เจ้าไม่กลัวพระเจ้าหรือ เจ้าก็ถูกลงโทษเหมือนกัน? 41 อันที่จริงเราก็สมควรได้รับตามการกระทำของเราแล้ว แต่ชายนี้ไม่ได้ทำอะไรผิด" 42 เขากล่าวต่อไปอีกว่า " พระเยซูเจ้า ขอโปรดระลึกถึงข้าพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ด้วยเถิด" 43 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า วันนี้เจ้าจะอยู่กับเราในสวรรค์สถาน" 44 เวลานั้นประมาณเที่ยงวัน ความมืดปกคลุมทั่วแผ่นดินจนกระทั่งถึงบ่ายสาม 45 เมื่อสิ้นแสงตะวัน ม่านในพระวิหารก็ถูกแยกออกจากกัน 46 พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า "พระบิดา ลูกขอมอบวิญญาณจิตของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์" หลังจากตรัสแล้วก็ทรงสิ้นพระชนม์ 47 เมื่อนายร้อยได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เขากล่าวยกย่องสรรเสริญพระเจ้าว่า "นี่เป็นผู้ที่ชอบธรรมที่แท้จริง" 48 เมื่อฝูงชนทุกคนที่มารวมกันเพื่อเป็นพยานสิ่งที่เกิดขึ้น ผู้ที่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตา ก็พากันตีอกชกตัวกลับไป 49 แต่ทุกคนที่รู้จักพระองค์และหญิงเหล่านั้นที่ติดตามพระองค์จากกาลิลียืนดูสิ่งเหล่านี้แต่ไกล 50 นี่แน่ะ มีชายคนหนึ่งชื่อโยเซฟ เป็นสมาชิกของสภา เขาเป็นคนดีและชอบธรรม 51 (เขาไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจและการกระทำของพวกเขา)เขามาจากอาริมาเธียซึ่งเป็นเมืองหนึ่งของชาวยิว เขาเป็นผู้ที่กำลังรอคอยราชอาณาจักรของพระเจ้า 52 ชายคนนี้เข้าไปหาปีลาตเพื่อขอพระศพพระเยซู 53 เขานำพระศพของพระองค์ลงมาและพันด้วยผ้าลินิน และวางพระองค์ไว้ในอุโมงค์ที่เจาะในศิลาและยังไม่เคยวางศพผู้ใดมาก่อน 54 วันนั้นเป็นวันจัดเตรียม และใกล้ถึงวันสะบาโต 55 พวกผู้หญิงที่ติดตามพระองค์จากกาลิลีได้ตามไป และได้เห็นอุโมงค์และเห็นว่าพระศพของพระองค์วางอย่างไร 56 พวกนางจึงกลับไปและเตรียมเครื่องเทศและน้ำมันหอม และในวันสะบาโตพวกเขาก็หยุดพักตามพระบัญญัติ

Chapter 24

1 เช้ามืดของวันต้นสัปดาห์ พวกเขานำเครื่องหอมที่ได้เตรียมไว้มาที่อุโมงค์ฝังศพ 2 พวกเขาพบก้อนหินถูกกลิ้งออกจากปากอุโมงค์ 3 พวกเขาเข้าไปข้างในแต่ไม่พบพระศพขององค์พระเยซูเจ้า 4 ต่อมาขณะที่พวกเขากำลังสับสนในเรื่องนี้ ทันใดนั้นก็มีชายสองคนสวมเสื้อคลุมทอแสงประกายยืนอยู่ใกล้พวกเขา 5 ขณะที่ผู้หญิงเหล่านั้นต่างก็หวาดกลัวและซบหน้าของพวกเธอลงกับดิน ชายสองคนนั้นจึงพูดกับพวกเธอว่า "ทำไมพวกท่านจึงแสวงหาคนเป็นในพวกคนตายเล่า? 6 พระองค์ไม่อยู่ที่นี่ แต่ได้เป็นขึ้นจากความตายแล้ว จงระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ตรัสกับพวกท่านในขณะที่พระองค์ยังอยู่ที่กาลิลี 7 ที่พระองค์ตรัสว่า บุตรมนุษย์ต้องถูกมอบไว้ในมือของพวกคนบาป และต้องถูกตรึง แล้วในวันที่สามจะเป็นขึ้นมาใหม่อีกครั้ง 8 ผู้หญิงเหล่านั้นจึงนึกขึ้นได้เกี่ยวกับถ้อยคำของพระองค์ 9 จึงออกจากอุโมงค์ฝังศพกลับไปบอกสิ่งเหล่านี้ให้กับสาวกสิบเอ็ดคนและคนที่เหลือทั้งหมด 10 ผู้ที่นำสิ่งเหล่านี้มารายงานให้กับพวกอัครทูต คือ มารีย์ชาวมักดาลา โยอันนา มารีย์มารดาของยากอบ และหญิงอื่นๆที่อยู่กับพวกเขา 11 แต่ข่าวสารนี้ดูเหมือนเป็นคำพูดที่ไร้สาระต่อพวกอัครทูต พวกเขาไม่เชื่อคำของผู้หญิงเหล่านั้น 12 แต่เปโตรลุกขึ้นและวิ่งไปที่อุโมงค์ฝังศพ เขาก้มลงและมองดูเข้าไปข้างใน เขาเห็นแต่ผ้าลินินวางอยู่ เปโตรจึงปลีกตัวกลับไปบ้านของตนและฉงนกับสิ่งที่ได้เกิดขึ้น 13 ดูเถิด ในวันนั้นมีสาวกสองคนกำลังเดินทางไปที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อว่าเอมมาอูส ซึ่งอยู่ห่างจากเยรูซาเล็มประมาณสิบเอ็ดกิโลเมตร 14 พวกเขาพูดคุยปรึกษากันเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น 15 ต่อมาในขณะที่พวกเขาพูดคุยกันและสงสัยกันอยู่นั้น พระเยซูเสด็จมาใกล้และดำเนินไปกับพวกเขา 16 แต่สายตาของพวกเขาถูกปิดเอาไว้จึงจำพระองค์ไม่ได้ 17 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "พวกท่านสองคนพูดคุยเรื่องอะไรกันหรือในขณะที่เดินมานี้?" พวกเขายืนอยู่ที่นั่นหน้าตาโศกเศร้า 18 คนหนึ่งที่ชื่อว่า เคลโอปัส จึงตอบพระองค์ว่า "ท่านคือคนเดียวในเยรูซาเล็มที่ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่นั่นในสามวันนี้หรือ?" 19 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "เรื่องอะไรหรือ?" พวกเขาตอบพระองค์ว่า "เรื่องพระเยซูชาวนาซาเร็ธ ผู้เป็นผู้เผยพระวจนะ ผู้เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจทั้งในการกระทำและคำพูดต่อพระพักตร์พระเจ้าและต่อหน้าคนทั้งปวง 20 และพวกหัวหน้าปุโรหิตกับพวกผู้มีอำนาจปกครองได้มอบพระองค์ไว้แก่การลงโทษถึงความตายและได้ตรึงพระองค์ 21 แต่เราหวังว่าพระองค์จะเป็นผู้ที่ช่วยกู้อิสราเอล ยิ่งไปกว่านั้น นี่ก็ผ่านไปสามวันแล้วนับจากที่เรื่องราวเหล่านั้นเกิดขึ้น 22 แต่พวกผู้หญิงบางคนที่อยู่กับพวกเรายังทำให้พวกเราแปลกประหลาดใจเมื่อพวกเธอได้ไปที่อุโมงค์ฝังศพในตอนเช้ามืด 23 เมื่อพวกเธอไม่พบพระศพของพระองค์ พวกเธอจึงมาบอกว่าได้เห็นนิมิตของเหล่าทูตสวรรค์ที่พูดว่าพระองค์มีชีวิตอยู่ 24 ผู้ชายบางคนที่อยู่กับพวกเราได้ไปที่อุโมงค์ฝังศพและได้พบเห็นตามสิ่งที่พวกผู้หญิงได้พูดไว้ แต่พวกเขาไม่พบพระองค์ 25 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "โอ พวกคนเขลาเอ๋ย พวกท่านช่างมีใจเชื่องช้าที่จะเชื่อทุกสิ่งที่ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวไว้ 26 พระคริสต์จำเป็นต้องทนทุกข์ต่อสิ่งเหล่านี้และเข้าสู่พระสิริของพระองค์ไม่ใช่หรือ? 27 เริ่มต้นจากโมเสสผ่านมายังผู้เผยพระวจนะทุกคน พระเยซูได้อธิบายความหมายของพระคัมภีร์ทุกข้อถึงสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระองค์ให้แก่พวกเขา 28 เมื่อพวกเขาใกล้ถึงหมู่บ้านที่พวกเขากำลังเดินทางไปนั้น พระเยซูทำท่าเหมือนกับว่าจะเดินทางต่อไป 29 แต่พวกเขารบเร้าพระองค์ว่า "ขอพักอยู่กับพวกเราต่อเถิด ตอนนี้ใกล้ค่ำแล้วและวันก็กำลังจะหมดไป" ดังนั้นพระเยซูจึงเข้าไปข้างในและพักอยู่กับพวกเขา 30 ต่อมาเมื่อพระองค์กำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่กับพวกเขา พระองค์หยิบขนมปังขึ้นมา อวยพระพร แล้วจึงหักขนมปังส่งให้กับพวกเขา 31 ดังนั้นตาของพวกเขาจึงเปิดออก พวกเขารู้จักพระองค์ และพระองค์จึงหายไปจากสายตาของพวกเขา 32 พวกเขาพูดต่อกันว่า "หัวใจของพวกเราก็ร้อนรุ่มอยู่ภายในมิใช่หรือ เมื่อพระองค์ตรัสกับเราระหว่างทางขณะที่พระองค์อธิบายพระคัมภีร์ให้กับพวกเรานั้น?" 33 พวกเขาจึงลุกขึ้นในเวลานั้นแล้วกลับไปยังเยรูซาเล็ม พวกเขาพบสาวกสิบเอ็ดคนชุมนุมกันอยู่กับคนเหล่านั้นที่อยู่กับพวกเขา 34 สาวกทั้งสองคนพูดว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นขึ้นมาจากความตายแล้วจริงๆ และได้ปรากฎแก่ซีโมน" 35 ดังนั้นพวกเขาจึงเล่าถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างทาง และถึงวิธีที่พระเยซูสำแดงแก่พวกเขาในการหักขนมปัง 36 ในขณะที่พวกเขาพูดถึงสิ่งเหล่านี้ พระเยซูได้ยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขาและตรัสกับพวกเขาว่า "สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด" 37 แต่พวกเขาตกใจและเต็มไปด้วยความกลัวและคิดว่าเห็นผี 38 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "ทำไมพวกท่านถึงเดือดร้อนใจขนาดนี้? ทำไมพวกท่านจึงปล่อยให้ความสงสัยเกิดขึ้นในหัวใจ? 39 จงดูมือและเท้าของเราสิ นี่คือเราเอง มาจับต้องเราและดู เพราะว่าผีไม่มีเนื้อและกระดูกอย่างที่พวกท่านเห็นว่าเรามีนี้" 40 เมื่อพระองค์ตรัสสิ่งนี้ พระองค์ให้พวกเขาดูพระหัตถ์และพระบาทของพระองค์ 41 ในขณะที่พวกเขามีความยินดีแต่ก็ยังสงสัยและไม่เชื่อหมดหัวใจ พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า "พวกท่านมีอะไรให้กินบ้างไหม?" 42 พวกเขาจึงนำเอาปลาย่างตัวหนึ่งมาให้พระองค์ 43 พระองค์รับมาและเสวยต่อหน้าพวกเขา 44 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "เมื่อเราอยู่กับพวกท่าน เราบอกพวกท่านแล้วถึงทุกสิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในบัญญัติของโมเสส ในหนังสือผู้เผยพระวจนะ และในหนังสือสดุดีจะต้องสำเร็จ" 45 แล้วพระองค์จึงเปิดใจของพวกเขา เพื่อพวกเขาจะเข้าใจพระคัมภีร์ 46 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "นี่คือสิ่งที่เขียนไว้ คือ พระคริสต์จำต้องทนทุกข์และเป็นขึ้นมาอีกครั้งจากความตายในวันที่สาม 47 และเรื่องการกลับใจใหม่กับการให้อภัยความบาปจำต้องถูกประกาศออกไปในพระนามของพระองค์ยังทุกชนชาติโดยเริ่มต้นจากเยรูซาเล็ม 48 พวกท่านเป็นพยานถึงสิ่งเหล่านี้ 49 ดูเถิด เราจะประทานสิ่งที่พระบิดาทรงสัญญามาให้แก่พวกท่าน แต่จงรอคอยอยู่ในกรุงจนกว่าพวกท่านจะได้รับฤทธิ์อำนาจจากเบื้องบน" 50 แล้วพระเยซูจึงนำพวกเขาออกไปจวบจนใกล้ถึงเบธานี พระองค์ยกพระหัตถ์ของพระองค์ขึ้นและอวยพรพวกเขา 51 ต่อมาในขณะที่พระองค์กำลังอวยพรพวกเขา พระองค์เสด็จจากพวกเขาและถูกรับขึ้นไปสู่สวรรค์ 52 ดังนั้นพวกเขาจึงนมัสการพระองค์ และกลับไปที่กรุงเยรูซาเล็มด้วยความชื่นชมยินดีอย่างใหญ่หลวง 53 พวกเขาอยู่ในพระวิหารเป็นประจำเพื่อสรรเสริญพระเจ้า front